'สตูล' เมืองที่ช้างสเตโกดอนและมังกรอยู่ร่วมกัน
— Satun, Thailand —

รู้ไหมว่าถ้ำใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลกอยู่ที่เมืองไทย? แล้วรู้ไหมว่าถ้ำที่ยาวที่สุดของบ้านเราอยู่ในสตูล?
สารภาพกันตาใสๆ ว่าก่อนจะมา ฉันรู้จักสตูลแค่ว่ามีเกาะสวยและอยู่ใกล้กับเกาะลังกาวีของมาเลเซียเพียงแค่นั่งเรือหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น — เท่านั้นจริงๆ
และเมื่อสองเท้าก้าวย่างลงบนพื้นดินเมืองสตูล ที่แรกที่ฉันได้ไปเปิดโลกทัศน์ในการรู้จักส่วนหนึ่งของด้ามขวาน ‘บ้าน’ ตัวเองให้มากขึ้นคือ ‘พิพิธภัณฑ์ช้างดึกดำบรรพ์ ทุ่งหว้า’ ดูภายนอกหน้าตาธรรมด๊าธรรมดา แต่ด้านในกลับจัดเป็นนิทรรศการขนาดย่อมๆ ได้ดีทีเดียว ฉันได้ความรู้หลายอย่างจากที่นี่ ได้เรียนรู้ว่าพื้นที่ที่เรายืนอยู่นั้นเป็นทะเลดึกดำบรรพ์ที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย เพราะมีการขุดค้นพบซากฟอสซิลหลายอย่างที่อยู่ในยุคกำเนิดสิ่งมีชีวิตของโลกใบนี้ หากเรียกชื่อโก้ๆ แบบที่นักธรณีวิทยารู้จักกันก็คือ ยุคพาลีโอโซอิก (Paleozoic) หรือเมื่อประมาณ 542 ล้านปีก่อน ซึ่งในยุคนี้ก็มีการแบ่งเป็นหกยุคย่อยๆ ลงมาอีกว่ามีตัวอะไรเกิดขึ้นในตอนไหนกันบ้าง เข้าใจแบบกว้างๆ ง่ายๆ นี่ก็คือยุคก่อนที่ไดโนเสาร์จะถือกำเนิดขึ้นมานั่นเอง นอกจากฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตตัวเล็กตัวน้อยแล้ว ที่อำเภอทุ่งหว้าแห่งนี้ยังมีการค้นพบซากของช้างสเตโกดอน อันเป็นสัตว์โบราณยุคหลังไดโนเสาร์ ที่หากคุณอยากลองจินตนาการหน้าตาก็ให้นึกง่ายๆ ว่าใกล้เคียงกับช้างแมมมอธที่พอจะคุ้นเคยกันบ้างนั่นละ

THE MAGIC CAVE
จบจากชั่วโมงธรณีวิทยา ฉันก็มุ่งหน้าสู่ความแอดเวนเจอร์ในภาคปฏิบัติกันบ้าง — ‘ถ้ำเลสเตโกดอน’ หรือชื่อเดิมก่อนจะเข้าสู่วงการท่องเที่ยวอย่างจริงจังว่าถ้ำวังกล้วยนั้น คือถ้ำที่มีการค้นพบฟอสซิลที่ฉันเพิ่งไปเรียนรู้ภาคทฤษฎีมาเมื่อตะกี้นี้นั่นละ ถ้ำนี้มีความยาวถึง 4 กิโลเมตร ถือเป็นถ้ำน้ำเค็มที่ยาวที่สุดในประเทศไทย มีทางน้ำทอดยาวไหลผ่านออกไปยังป่าชายเลนด้านนอกลงสู่ทะเลอันดามัน วิธีการเที่ยวชมถ้ำนี้คือการลงเรือคายัคที่มีฝีพายหนุ่มคมเข้มเจ้าถิ่นเป็นคนพาล่องไป พร้อมส่องไฟชี้ชวนให้ชมหินงอกหินย้อย ผนังถ้ำลายแปลกและหินสีสวยเป็นระยะ บางจุดในช่วงฝนตกชุกจะมีน้ำรินไหลเป็นน้ำตกสายย่อมๆ บางมุมอาจต้องลงจากเรือเพื่อป่ายปีนข้ามโขดหินระหว่างทางซึ่งผุดโผล่ขึ้นมายาม ‘น้ำตาย’ หรือน้ำลง แต่กลายเป็นว่าฉันผู้ไม่ค่อยชอบการเที่ยวถ้ำสักเท่าไหร่กลับชอบแฮะ เพราะมันได้ผจญภัยเล็กๆ พอมีเรื่องเล่าประทับใจที่จะถ่ายทอดให้ใครต่อใครฟังเมื่อกลับบ้าน


อุณหภูมิในถ้ำราวยี่สิบองศานิดๆ อากาศถ่ายเทสะดวกไม่มีคำว่าอึดอัด เพราะด้านในค่อนข้างกว้าง ไฮไลท์หนึ่งช่วงที่ฉันชอบมากคือตอนที่เหล่าผู้นำทางพากันปิดไฟจนหมดเพื่อให้ทุกคนได้มองเห็นความมืดแบบสุดเรียล ได้ยินเสียงกึกก้องของความเงียบงัน นั่นทำให้ฉันเข้าใจคำว่ามืดจนมองไม่เห็นมือตัวเอง! การได้รับฟังเสียงความเงียบท่ามกลางความมืดอันแท้จริงนั้น ก่อให้เกิดประสบการณ์ใหม่ในชีวิตที่ฉันเองไม่เคยเจอ เพิ่งจะรู้ว่าเที่ยวถ้ำก็เพลินดีเหมือนกันนะ


ไหนๆ ก็อุตส่าห์เริ่มติดใจการเที่ยวถ้ำแล้ว เราต้องจัดกันอย่างต่อเนื่องอีกหนึ่งกับ ‘ถ้ำภูผาเพชร’ ที่ต้องนั่งรถต่อมาจากถ้ำแรกอีกนิด แต่หากอยากเที่ยวถ้ำนี้ กำลังขาต้องดีในระดับหนึ่งเชียว เพราะต้องเดินขึ้นบันไดหินตามธรรมชาติเกือบสามร้อยขั้นไปจนถึงทางเข้าด้านบน ต้องมุด ต้องก้ม ต้องไต่ขึ้น – ลง ตามบันไดไม้ที่ทำเป็นทางเดินภายในถ้ำค่อนข้างยาวไกล แต่ถ้าถามว่า แล้วมันคุ้มไหม? ตอบง่ายๆ คำเดียว คุ้ม!
ความเด็ดดวงของถ้ำภูผาเพชรที่ได้ยินมา นี่คือถ้ำอายุกว่า 250 ล้านปี ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ที่เจ๋งยิ่งกว่าคือใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก! และกำลังอยู่ในขั้นตอนยื่นเรื่องขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกต่อองค์การยูเนสโก ซึ่งจะได้เป็นหรือไม่ ก็ยังต้องรอลุ้นรอเชียร์กันต่อไป — คุณพระ! แล้วทำไมฉันถึงไม่เคยได้ยินเรื่องเหล่านี้มาก่อนเลยล่ะ?


ถ้ำนี้มีพื้นที่รวมประมาณ 50 ไร่ หรือใกล้ๆ 20,000 ตารางวา แบ่งเป็นห้องต่างๆ ประมาณ 20 ห้องแตกต่างคอนเซ็ปท์กันไป ส่วนชื่อของถ้ำก็ได้มาจากผนังหินที่จะส่องแสงระยิบวิบวาวยามต้องแสงไฟดุจดั่งประกายเพชรนั่นเอง โดยปกติแล้ว จะมีการติดไฟส่องสว่างเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เห็นความอลังการตาแตกของถ้ำนี้ตามจุดต่างๆ และมีไฟทางเดินอยู่เป็นระยะสองข้างทางของสะพานไม้ที่ใช้เดินชม แต่ในวันที่ฉันไปเยือนนั้น ฝนตกหนัก และไฟดับทั้งหมด — สวัสดี!
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ฉันก็อยากให้ทุกคนมีโอกาสไปเยือนถ้ำนี้กันอยู่ดี เพราะแม้จะมีอุปสรรคขลุกขลักขนาดไหน เราก็ยังรู้สึกได้ถึงความตระการใจใหญ่โตสุดสายตา บางจุดของถ้ำ เงยหน้ามองสูงขึ้นไปสุดสายตายังไม่อาจแลเห็นเพดาน บางจุดก้มลงไปมองเท่าไหร่ก็ไม่ยักเจอสิ่งที่เรียกได้ว่าพื้น ฉันว่านี่คือโลกใต้พิภพอีกใบอันแสนยิ่งใหญ่จนน่าอัศจรรย์ — ไปเถอะคุณขา ค่าเข้าก็แค่ 30 บาทต่อคนเท่านั้น ใช้เวลาเดินเที่ยวดูความอลังการจนทั่วก็ราวๆ สองชั่วโมงกว่า ขนาดนี้ไม่คุ้มก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้ว

WALK HAPPILY ALONG THE BEACH
จากสองถ้ำ ขอกระชากฟีลลิ่งเปลี่ยนบรรยากาศมาสู่ท้องทะเลกันบ้างดีกว่า เพียงแต่ว่าการมาทะเลในครั้งนี้ มิได้ชวนคุณดูน้ำใสปลาสวยเหมือนใครๆ เขาไปกัน เราจะชวนคุณนั่งเรือจากท่าเรือบ้านบากันเคย ตำบลตันหยงโป ออกไปในทะเลประมาณ 10 กิโลเมตร มุ่งหน้าไปชม ‘สันหลังมังกร’ อันเป็นทางเดินทอดยาวซึ่งเกิดจากการที่กระแสน้ำและลม พัดพาตะกอนต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่คือเปลือกหอย เข้ามาทับถมกันจนเกิดสันดอนยาวสุดสายตาเป็นทางเดินคดเคี้ยวเชื่อมเกาะสามเกาะให้ต่อเนื่องถึงกันในยามน้ำลด ซึ่งจะมีช่วงเวลาที่สามารถมองเห็นได้สองครั้งในหนึ่งวัน คือราวแปดโมงเช้า และบ่ายสามโมงครึ่งถึงหกโมงเย็นโดยประมาณ แต่ถ้าเลือกได้อยากให้ไปในยามบ่าย เพราะจะมีช่วงระยะเวลาที่น้ำลดยาวนานกว่า มีเวลาเดินชิลล์เดินแชะ เซลฟี่ได้อย่างไม่ต้องรีบร้อน ทางเดินนี้มีความยาวราวสามกิโลเมตร บางคนอาจคิดว่ามีความคลับคล้ายคลับคลากับทะเลแหวกของทางฝั่งกระบี่ ซึ่งฉันก็ว่ามีส่วนอยู่บ้าง เพียงแต่ความต่างคือสันหลังมังกรของทางฝั่งสตูลยาวกว่า และเป็นทางเดินที่เกิดจากเปลือกหอยเล็กๆ จำนวนหลายล้านตัวทับถมกันมาเป็นเวลาหลายสิบปี ในขณะที่ทะเลแหวกนั้นเกิดขึ้นจากเม็ดทรายล้วนๆ แถมระหว่างทางมาที่นี่ยังมีจุดแวะให้คุณอีกพอประมาณ อย่างเกาะกวางที่หาดทั้งหาดหาได้เป็นทราย แต่กลายเป็นเปลือกหอยนับแสนนับล้าน แถมก้อนหินแต่ละก้อนบนเกาะนี้ก็ไม่เหมือนใคร เพราะเป็นหินที่แทรกไปด้วยแร่เหล็กอันสันนิษฐานว่าได้ละลายและซึมแทรกเข้าไปตามรอยแตกของหินบนเกาะนี้ ตั้งแต่ยุคโบราณกาลนานมาแล้ว


ฉันแนะนำว่าควรมาจบวันแห่งการเดินทางที่สันหลังมังกรแห่งนี้ในยามเย็น นึกภาพคุณเดินอยู่บนเส้นทางเดินทอดยาวที่อยู่ท่ามกลางท้องทะเลอันกว้างใหญ่สุดสายตา มีหมู่เกาะสีเขียวทอดเรียงต่อกันเป็นระยะๆ แบบพาโนรามา ฉากหลังเป็นท้องฟ้าไล่สีสลับโทนส้ม แดง ฟ้า น้ำเงิน เรียงเฉดกันยามสนธยาที่พระอาทิตย์ลดตัวลงหาท้องทะเลกว่าครึ่งดวง ยิ่งถ้าได้จูงมือใครสักคนเดินเรื่อยๆ เอื่อยๆ เคียงไหล่กันไปด้วยแล้วละก็ คุณเอ๋ย — คงเป็นช่วงเวลาที่ลืมไม่ได้เลยเชียวละ!



THE VERY HAPPY ENDING
ปิดท้ายทริปกันกับถนนนางงาม จังหวัดสงขลา เพราะมีเวลาก่อนจะลัดฟ้าขึ้นเครื่องบินกลับเมืองกรุงจากสนามบินหาดใหญ่ หากใครอยากแวะมาถนนนี้ ขอแนะนำให้มาแบบท้องว่างๆ จะดีที่สุด เพราะที่นี่มีร้านรวงตั้งเรียงรายรอให้เลือกชิมชนิดเกินอิ่มกันเชียวละ จะขอชี้พิกัดเจ๋งๆ สักสามสี่ร้านแล้วกัน ร้านแรกคือก๋วยเตี๋ยวหมูใต้ถุนโรงงิ้วของป้ารุ่ง ในบริเวณศาลเจ้าพ่อหลักเมือง โดดเด่นที่โลเกชั่นสุดเจ๋งอันต้องมีการมุดเข้าไปในร้านกันเล็กน้อย แต่เขาบอกกันว่าอร่อยเด็ดดวงคุ้มค่า



เดินถัดมาอีกหน่อยจะเจอเข้ากับร้านตั้งฮั่วกิม ที่หน้าร้านจะดูฟิวชั่นหน่อย คือรวมตู้โชว์ขนมจีบไว้ข้างๆ ตู้กระจกโชว์ของแอนทีคทั้งหลาย นี่แค่ด้านซ้ายของร้านนะ หากหันไปขวามือจะเจอเข้ากับดิสเพลย์นานาของเก่าอีกเช่นกัน พร้อมป้ายร้านว่าศรประจักษ์ ข้างในร้านรวมบรรยากาศยุคโบราณไว้หลากหลาย เดินชมไปก็เพลินเชียว แต่ที่อยากให้แวะร้านนี้เพราะจะชวนให้ลองชิมซาลาเปาของเขาดู นอกจากไส้เต็มคำจนแทบจะล้นออกมานอกแป้งแล้ว ที่เด่นมากคือขนาด ซึ่งเทียบได้กับจานขนาดย่อมๆ หนึ่งใบ คือให้กินหวังผลถึงอิ่มแน่นกันได้เลยในลูกเดียว — ถูกใจฉันนักแล


อีกร้านที่อยากให้แวะมา คือร้านเต้าขั้วป้าจวบ เดินตรงมาเรื่อยๆ จากร้านซาลาเปาเมื่อตะกี้นี้ จนเจอเข้ากับซอยเล็กๆ ซ้ายมือ มุ่งหน้าสู่ถนนยะหริ่งที่ตั้งของโรงสีหับโห้หิ้น เลี้ยวเข้ามาสักสิบเมตร เหลียวมองด้านขวามือไว้ ไม่มีผิดหวัง ป้าจวบเจ้าของร้านบอกว่าได้ไอเดียจากการชิมเต้าขั้วในสมัยเด็ก แต่ป้านำมาปรับสูตรเพิ่มนิดหน่อยโดยการเพิ่มน้ำส้มพริกตำที่รสจี๊ดจ๊าดคล้ายน้ำจิ้มซีฟู้ดเข้ามาอีกอย่าง เต้าขั้วของป้าประกอบด้วยเครื่องมากมายหลายอย่าง อาทิ กุ้งชุบแป้งทอด ไข่ต้ม หูหมู ผักเคียง เส้นหมี่ลวก ก่อนเสิร์ฟจะราดด้วยน้ำส้มสุดจี๊ดและน้ำปรุงรส ในหนึ่งคำให้ความเปรี้ยว หวาน เผ็ดพริกขี้หนูแทรกนิดๆ นัวๆ กันอยู่ในปาก อร่อยแปลกดีนักละคุณเอ๋ย — ยังมีอีกหลายร้านบนถนนนางงามสายสั้นๆ นี้ ที่แสนน่าลองลิ้ม แต่คงต้องขอแปะไว้เป็นคราวหน้าหากได้มาอีกทีก็แล้วกัน เพราะตอนนี้ท้องรับอะไรเข้าไปอีกไม่ได้แล้วจริงๆ



ฉันงงกับตัวเองมาก ว่าไปมัวทำอะไรอยู่ ถึงได้มองข้ามจังหวัดเล็กๆ อันแสนอุดมไปด้วยที่กินที่เที่ยวเด็ดๆ อย่างสตูลไปได้ตั้งนานแสนนาน นี่ยังไม่นับผู้คนที่อัธยาศัยไมตรีแสนน่ารักน่าเอ็นดู ทุกคนยิ้มแย้มใจเย็น กระตือรือร้นที่จะต้อนรับและให้ความช่วยเหลือผู้มาเยือนแบบสุดฤทธิ์สุดใจ สตูลเป็นเมืองถ้อยทีถ้อยอาศัยชนิดที่น่าเอาเป็นแบบอย่าง เพราะคุณจะเจอมัสยิด วัด และศาลเจ้า อยู่ใกล้กันชนิดที่เรียกได้ว่าห่างไม่กี่ก้าวเท่านั้น
เมื่อถึงเวลาต้องโบยบิน ฉันโบกมือลาอยู่ในใจ พลางบอกกับตัวเองไว้ ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายอย่างแน่นอน

Don’t miss!
- สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย โทร. 1672
- สำหรับการนั่งเรือเที่ยวถ้ำเลสเตโกดอน ควรจองล่วงหน้า เนื่องจากจำนวนเรือนำเที่ยวมีจำกัด และต้องเช็คช่วงเวลาน้ำขึ้นและลงในแต่ละวัน สนใจลองสอบถามรายละเอียดได้ที่ องค์การบริหารส่วนตำบล อำเภอทุ่งหว้า โทร. 074 – 789317
- หากจะไปชมสันหลังมังกรในช่วงเช้า คุณต้องรักษาเวลาให้ดี เพราะพลาดไปเพียงสิบนาที ทางเดินจะหายวับไปกับตา!
AUTHOR

S.J.
สาว (เหลือ) น้อย ที่ชอบคิดว่าตัวเองยังเอ๊าะ
รักการแบกเป้ตะลุยโลก (โดยเฉพาะฝั่งเอเชีย) ชอบที่จะได้
เรียนรู้วัฒนธรรมที่แตกต่างของแต่ละตารางเมตรบนแผนที่ผ่าน
อาหารการกินและการเม้าท์มอยกับผู้คนท้องถิ่นเป็นอย่างยิ่ง
แต่ยังไปได้ไม่กี่ประเทศเพราะทุนยังไม่อำนวย …
รวยเมื่อไหร่จะพาทุกคนในเว็บนี้ไปให้ได้ ไม่เชื่อคอยดู!