ไปดูแสงสีที่ "นีงาตะ" เมืองท่าน่าเที่ยว ใกล้โตเกียวนิดเดียวเอง!
Niigata, Japan
- March, 2018 -

โฉบไปโฉบมาหลายครั้งกับ “จังหวัดนีงาตะ (Niigata)” เมืองท่าน่าเที่ยวที่อยู่ใกล้โตเกียวแค่เอื้อมมือ! .. หลังจากที่เราแวะเวียนไปเที่ยวเกาะซาโดะในรีวิว Sado Island เกาะเดียวเที่ยวได้ทุกฤดู! ซึ่งเป็นเกาะที่ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดของนีงาตะถึงสองครั้ง เราก็ยังไม่มีโอกาสได้อยู่เที่ยวที่นีงาตะแบบเต็มอิ่ม และแนะนำเมืองนี้อย่างเป็นทางการสักที ฤกษ์งามยามดีคราวนี้ละ .. ได้โอกาสแล้วค่ะคุณ!
ทำความรู้จักเมืองนีงาตะกันสักหน่อย

“นีงาตะ” เป็นเมืองท่าที่มีชีวิตชีวา ซู่ซ่าแต่ก็มีความเรียบง่ายในเวลาเดียวกัน เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคจูบุ (Chubu) เมืองนี้ละที่จะต้องแวะมาลงเรือเพื่อเดินทางต่อไปยังเกาะซาโดะ เกาะสุดสวยขวัญใจเราที่มาเล่าให้ฟังกันแล้วถึงสองครั้งสองครา เมืองนีงาตะแห่งนี้ถือว่าเป็นเมืองใหญ่ที่เจริญรุ่มรวยไปด้วยวัฒนธรรมมากมาย และด้วยความที่เป็นเมืองท่ามาแต่ดั้งเดิมในอดีต เราจึงพบเห็นอาคารดีไซน์สวยงามผสมผสานกลิ่นอายหลากสไตล์มากมายได้ในเมืองนี้ ใครชอบเดินเล่นหรือปั่นจักรยานเที่ยวชิลล์ๆ คือดีมากกกก โดยเฉพาะโซนใกล้กับ สะพานบันได (Bandai) ถือเป็นไฮไลท์ในยามเย็นเลย ตัวสะพานทอดยาวเชื่อมสองฟากฝั่งเมืองที่มีหน้าตาต่างกันโดยสิ้นเชิงให้รวมเป็นเมืองเดียว ฝั่งหนึ่งจะเห็นตึกรามทันสมัยสูงสะใจในสไตล์เมื้องงงเมือง ในขณะที่อีกฝั่งมองไป จะเจออาคาร Minatopia Niigata City History Museum ตั้งตระหง่านสวยสง่า ด้วยหน้าตาสถาปัตยกรรมที่ผสานความเป็นตะวันออกพองาม เลาะเลียบริมน้ำคือทางเดินกว้างขวางที่ในฤดูใบไม้ผลิจะเห็นเป็นทิวซากุระยาวเหยียด บอกเลยนะ ว่าแค่โซนนี้ก็ทำเอาใจเรากระเจิดกระเจิง อยากย้ายมานั่งชิลล์ๆ เดินไปเดินมาชมพระอาทิตย์ตกแถวนี้นานๆ คงจะฟินน่าดู : )

การเดินทางสู่เมืองนีงาตะ
จากสถานีโตเกียว (Tokyo Station) สามารนั่งรถไฟความเร็วสูงชินคันเซ็นซิ่งปรู๊ดปร๊าดต่อเดียวไปถึงสถานีนีงาตะ (Niigata Station) ได้ในเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงเท่านั้น ค่าโดยสารแบบจองที่นั่งคือ 10,770 เยนต่อเที่ยว แบบไม่จองที่นั่ง 10,050 เยนต่อเที่ยว สามารถใช้ JR Rail Pass หรือ JR EAST PASS Nagano – Niigata Area ได้ ซึ่งเราแนะนำว่าใช้พาสน่าจะคุ้มกว่า เพราะค่าชินคันเซ็นไป – กลับ ก็ล่อไปสองหมื่นกว่าเยนแล้ว แต่ค่าพาส JR EAST PASS Nagano – Niigata Area จะอยู่ที่ราคา 17,000 เยน แถมยังสามารถใช้นั่งชินคันเซ็นหรือรถไฟ JR ไปเที่ยวยังจังหวัดนากาโนะ (Nagano) ได้อีกด้วย

แวะดู แสง สี เสียง ชมพลุฤดูหนาวแบบอลังการดาวล้านดวงที่เมืองโทคามาจิ

Photo:Tsutomu Yamada
ก่อนจะมาถึงตัวจังหวัดนีงาตะ เราได้จังหวะเหมาะแวะดูเทศกาลดอกไม้ไฟที่ยิ่งใหญ่และโด่งดังระดับโลก ที่เมืองโทคามาจิ (Tokamachi) กันก่อนหนึ่งคืน เพราะงานนี้จะจัดแค่ปีละครั้งเท่านั้น นั่นคือทุกวันเสาร์แรกของเดือนมีนาคม แล้วในเมื่อเรามาได้จังหวะพอดิ๊บพอดี จะให้ทำใจมองข้ามงานเทศกาลดีๆ แบบนี้ไป .. ก็คงไม่ใช่เรา!

Photo:Tsutomu Yamada
ที่ว่างานนี้เขาดังระดับโลกน่ะ ไม่ได้โม้นา เพราะถ้าใครอยากมางานนี้ เขาแทบจะต้องจองที่พักกันข้ามปีเลยนะจ๊ะ ไม่อย่างนั้นคืออดแน่นอน ซึ่งทริปนี้เราเลือกนอนในตัวเมืองยูซาว่า แล้วนั่งรถไฟต่อมาที่เมืองโทคามาจิ เขาจะมีรถบัสรับ-ส่งจากสถานีรถไฟโทคามาจิไปเกยที่หน้างานเลยละ แสนจะง่ายดาย!
แล้วจะขอพูดตรงนี้เลยยยยย ว่างานนี้มันได้ใจ! ดอกไม้ไฟเค้าตระการตาสมคำร่ำลือ ตลอดเวลากว่าสิบนาทีที่บนท้องฟ้าสว่างไสวไปด้วยแสงสีสุดเร้าใจ หูเราก็จะได้ยินเพลงประกอบดีๆ ที่มีดีเจระดับโลกสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาเปิดทุกปี แถมด้านล่างที่เป็นพื้นหิมะหนานุ่มสีขาวกว้างขวาง ยังมีการนำไฟ LED สารพัดสีไปฝังเอาไว้ คือแค่เดินเข้าไปในงาน ยังไม่ต้องจุดดอกไม้ไฟ เราก็เหมือนได้อยู่ในนิทานหรือฉากหนังโรแมนติกซักเรื่องแล้วละ .. ฟินมากกกก นี่ถ้ามีคนรู้ใจควงแขนมาซบกันดูดอกไม้ไฟ บอกได้เลยว่าที่สุด!!!! ส่วนป้า .. ข้ามจุดนั้นไป ปีนี้ยังหาไม่ได้ ปีหน้าจะมาใหม่แต่หัววัน มาหาเอาในงานนี่ละ จะได้สัมผัสประสบการณ์ฟินๆ กะเค้ามั่ง คอยดู!

Photo:Tsutomu Yamada
หลังจากความโรแมนซ์แบบเดียวดายใต้ดอกไม้ไฟของเราจบลง ก็ได้เวลากลับมานอนพักที่ตัวเมืองยูซาว่า เพราะเช้าวันรุ่งขึ้น เราแพลนจะเดินทางสู่ตัวเมืองนีงาตะด้วยรถไฟที่ได้ชื่อว่าเป็นอาร์ตแกลเลอรี่เคลื่อนที่ที่เร็วที่สุดในโลก! นั่นคือ “Genbi Shinkansen” ซึ่งจะวิ่งเฉพาะวันเสาร์และอาทิตย์จากสถานี Echigo – Yuzawa ถึงสถานี Niigata เท่านั้น .. ความพิเศษของรถไฟไซส์ 6 โบกี้นี้คือ ด้านในจะจัดแบ่งเป็นแกลเลอรี่แสดงภาพถ่ายและนิทรรศการศิลปะหมุนเวียนที่แตกต่างกันไปในแต่ละขบวน รวมถึงมีคาเฟ่เล็กๆ และสนามเด็กเล่นรวมอยู่อีกด้วย ทำให้ช่วงเวลาการเดินทางราวหนึ่งชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็วและแสนเพลิดเพลิน : )



สวัสดี นีงาตะ
ตัวเมืองนีงาตะนั้นเรียบง่ายแต่ทันสมัย เดินทางง่าย และมีสิ่งอำนวยความสะดวกสบายให้นักท่องเที่ยวอย่างครบครัน ตั้งแต่โรงแรม ร้านอาหาร ร้านช้อปปิ้ง รวมถึงแหล่งบันเทิงยามค่ำคืน ในขณะที่ความพลุกพล่านวุ่นวายนั้นน้อยกว่าเมืองใหญ่อย่างโตเกียวเยอะเลยละ ที่สำคัญเมื่อมาถึงเมืองท่าที่อยู่ติดกับทะเลทั้งที มั่นใจได้เลยว่าเรื่องอาหารทะเลเค้าต้องเริ่ด! เราจึงเริ่มประเดิมประสบการณ์การกินในเมืองท่าสุดสวยแห่งนี้กันที่ “Benkei” ร้านซูชิสายพานชื่อดังในย่าน “Pier Bandai Market” ซึ่งเป็นแหล่งรวมสารพัดอาหารทะเลและร้านอาหารเอาไว้เพียบ! โดย Benkei น่าจะเป็นร้านดังในย่านนี้ ดูจากคิวที่แน่นเอี้ยดยาวเหยียดไม่ขาดสายตลอดระยะเวลาที่เรานั่งกิน ส่วนซูชิบนสายพานมีให้เลือกหลากหลายหน้าตาและราคา หลังจากได้ลองบอกเลยว่าฟินทุกคำ! วัตถุดิบสด ใหม่ ไร้ความคาว โดยเฉพาะ “ข้าว” ของเขานี่สมตำแหน่งหนึ่งในจังหวัดที่มี “ข้าว” อร่อยที่สุดจริงๆ ปรบมือรัวๆ



เราเริ่มต้นเช้าวันรุ่งขึ้นในเขตเมืองฟุรุมาจิ (Furumachi) หนึ่งในสามเมืองที่มีชื่อเสียงดังก้องเรื่อง “เกอิชาประจำเมือง” ที่ว่ากันว่าศักดิ์ศรีเทียบเท่ากับสองย่านดังอย่างกิอง (Gion) ของเกียวโต และชิมบาชิ (Shimbashi) ของโตเกียวนั่นเลยเชียว โดยที่ฟุรุมาจินี้ จะเรียกเกอิชาของตนว่าว่า “เกอิกิ (Geigi)” ซึ่งเธอเหล่านี้รับหน้าที่เป็นผู้สืบทอดการร่ายรำแบบอิชิยามะ ศิลปะเก่าแก่ที่สืบทอดกันมากว่า 120 ปี และเป็นที่เดียวในญี่ปุ่นที่เราจะหาดูการร่ายรำแบบนี้ได้ ซึ่งการรำอิชิยามะไม่ได้หมายถึงเฉพาะแค่ท่าทางการรำเท่านั้น แต่ยังเป็นการเรียกรวมๆ ถึงการร้อง รำ และการเล่นซามิเซ็น ในสถานที่อันสวยงาม เพื่อต้อนรับผู้มาเยือนอย่างสมเกียรติสมศักดิ์ศรีด้วย


ดูไปดูมา ไอ้เราก็ดันอิน เกิดความอยากจะใส่กิโมโนร่ายรำกับเค้าบ้าง เลยเถิดถึงขั้นไปถามไถ่ที่ “Tourism Information in KITAKU” เพราะรู้มาว่าเขากำลังเริ่มจัดโครงการนำร่องการท่องเที่ยวแบบที่เราสามารถเข้าถึงวัฒนธรรมญี่ปุ่นอย่างลึกซึ้งขึ้นมาพอดี เราจึงได้ลองแต่งชุดกิโมโนงามๆ พร้อมเรียนการร่ายรำแบบฉบับเบสิคสุดๆ ด้วย แต่เชื่อแล้วคุณเอ๋ย!! กว่าจะเป็นเกอิชามันไม่ง่ายเลยละ ของเราแค่เบสิคยังเกือบตาย แล้วเหล่าเกอิกิที่ร่ายรำออกมาอย่างสวยงาม ดูง่าย ไม่ซับซ้อน แบบที่เราได้ดูไป เขาต้องฝึกขนาดไหนกัน .. นับถือจริงๆ ข้าขอคารวะไว้ตรงนี้!
ปล. กิจกรรมหัดร่ายรำแบบญี่ปุ่นพร้อมใส่ชุดกิโมโน ต้องจองล่วงหน้าอย่างน้อย 10 วัน ทางอีเมล [email protected] (Mr.Yamada) โดยรับจองอย่างน้อย 2 คนขึ้นไป มีค่าใช้จ่ายคนละ 3,000 เยน

หลังจากเสียพลังงานในการร่ายรำไป อาหารคือสิ่งที่จะเยียวยาเราได้เป็นอย่างดี .. โชคดีที่ใกล้กับบริเวณที่เราไปหัดรำ มีร้านอาหารอิตาเลียนเจ้าดังชื่อ “Nora Cucina” ตั้งอยู่พอดี ร้านนี้เค้าดังในเรื่องการนำวัตถุดิบที่ถือเป็นของดีของเด็ดในจังหวัดนีงาตะมาทำเป็นอาหารอิตาเลียนสุดอร่อยได้อย่างลงตัว ซึ่งต้องขอบอกเลยว่าสปาเกตตี้ซอสครีมไข่ปลาเด็ดมากกก ควรมาโดน!


อิ่มท้องจากอาหารอิตาเลียน ก็มาต่อที่ร้าน “Yamadaya” ซึ่งเป็นร้านผลิตและจำหน่ายมิโสะอันเก่าแก่และมีชื่อเสียงของเมืองนี้ ที่ต้องเจาะจงมาถึงที่นี่ก็เพราะว่าที่ร้านนี้เขาเปิดโอกาสให้เราสามารถแต่งแต้มหน้าตาเจ้ามิโสะที่เราจะนำกลับบ้านได้ด้วยตัวเอง โดยมีวัตถุดิบเป็นสารพัดเครื่องปรุง ก่อนที่ทางร้านจะนำใส่กล่องให้อย่างพิถีพิถัน กลายเป็นว่ามิโสะง่ายๆ ที่กะจะซื้อกลับมาต้มซุปกินเองนั้น ดันน่ารักจนกลายเป็นของฝากมิตรรักแฟนเพลงในเมืองไทยได้อย่างสบายเลยเชียว




เอาละ .. อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ถ้าคิดว่าเรื่องของปากท้องของเราจะจบลงง่ายๆ จะบอกว่าคิดผิดแล้ววว เพราะหลังจากที่ได้ชิมข้าวและอาหารทะเลเด็ดๆ กันไปแล้ว ก็ถึงโอกาสที่จะได้ลองของแปรรูปบ้าง ซึ่งถ้าจะลองแบบธรรมดามันก็ง่ายไป เราจึงใช้วิธีมาออกแบบข้าวเกรียบปิ้งของตัวเองที่ “Niigata Senbei Okoku” ซะเลย .. โดยทางร้านจะมีแผ่นข้าวเกรียบเปล่ามาให้เราได้เริ่มลงมือตั้งแต่การปิ้ง วาดลวดลาย ทาโชยุ จนกระทั่งนำไปบรรจุในแพ็คเกจน่ารักๆ แม้จะร้อนวูบวาบนิดหน่อยเพราะต้องอยู่หน้าเตา แต่ก็เอาเถอะ ถือเป็นการเปิดรูขุมขนให้ได้หายใจ เพราะสุดท้ายแล้วมันสนุกมาก เสร็จสรรพกลับมาเป็นของฝากอีกอย่างที่คนรับน่าจะถูกใจได้อีกอย่าง ก็มันมีอันเดียวในโลกนี่นา เก๋ใช่ป่ะล้า ^^


ที่หลับที่นอน
ทริปนี้เราพักสองที่ โดยยูซาว่า พักที่ “Hotel Shousenkaku Kagetu” เรียวกังใจกลางเมือง เดินทางง่าย ห้องพักกว้าง อยู่สบาย ใกล้ร้านอาหารและร้านสะดวกซื้อ ใกล้สถานีรถไฟ Echigo – Yuzawa ชนิดลากกระเป๋าเดินมาได้ไม่เกิน 10 นาที



ส่วนที่ตัวเมืองนีงาตะ เราพักที่โรงแรม “Ramada” ตั้งอยู่เกือบจะติดกับสถานีนีงาตะกันเลยเชียว ใครมีแพลนมาเที่ยวนีงาตะแนะนำนะ เพราะแวดล้อมด้วยร้านอาหารหลากหลายรูปแบบ ร้านสะดวกซื้อเพียบ ใครชอบ Night Life รับรองถูกใจ ไม่ผิดหวังแน่นวล

สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุดของจังหวัดนี้ที่กะว่าแค่ 4 วัน น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับนีงาตะ แต่มันไม่ใช่! เพราะที่นี่ยังมีอะไรดีๆ ซ่อนอยู่อีกเพียบ! เอาเป็นว่า เรากาดอกจันเอาไว้แล้วว่าต้องได้กลับมาเก็บตกอีกหลายๆ ครั้ง รวมถึงขอแอบยกให้นีงาตะเป็นอีกหนึ่งเมืองในดวงใจที่เอาไว้หลบหนีความวุ่นวายจากโตเกียวมาแอ๊บใช้ชีวิตแบบเพลินๆ แบบตอบโจทย์ทุกการท่องเที่ยว ทั้งความสะดวกสบาย อาหาร วัฒนธรรม ถ้าใครกำลังมองหาสถานที่ดีๆ ไว้ทำแพลนแบบ One Day Trip ก็ได้ หรือจะแวะมาค้างสัก 2-3 วันก็ดี ขอเรียนเชิญแวะมาที่นี่เลย เมืองท่าน่าเที่ยว ใกล้โตเกียวนีสเดียวเอ๊ง!

AUTHOR

S.J.
สาว (เหลือ) น้อย ที่ชอบคิดว่าตัวเองยังเอ๊าะ
รักการแบกเป้ตะลุยโลก (โดยเฉพาะฝั่งเอเชีย) ชอบที่จะได้
เรียนรู้วัฒนธรรมที่แตกต่างของแต่ละตารางเมตรบนแผนที่ผ่าน
อาหารการกินและการเม้าท์มอยกับผู้คนท้องถิ่นเป็นอย่างยิ่ง
แต่ยังไปได้ไม่กี่ประเทศเพราะทุนยังไม่อำนวย …
รวยเมื่อไหร่จะพาทุกคนในเว็บนี้ไปให้ได้ ไม่เชื่อคอยดู!
Facebook : มนุษย์ป้าพาเที่ยว
Instagram : yui_zaa