
แอบรู้สึกมานานแล้วว่า “จังหวัดเชียงใหม่” มีกลิ่นอายบางอย่างที่ทำให้นึกถึง “ญี่ปุ่น” รวมไปถึงคนญี่ปุ่นเองหลายคนก็ใฝ่ฝันว่าอยากมีใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่ที่เชียงใหม่ด้วย พอตั้งใจลองมองหาเหตุผลดูดีๆ ถึงได้เห็นเสน่ห์บางอย่างของเชียงใหม่ที่มีความใกล้เคียงเมืองชนบทที่ญี่ปุ่นมาก โดยเฉพาะคาเฟ่หลายที่ที่เห็นแล้วอดเข้าใจผิดไม่ได้ว่า เอ๊ะ นี่อยู่ที่ญี่ปุ่นหรือเปล่า!? เราก็เลยอยากรวบรวมสถานที่ที่มีฟีลโอะฮาโยในเชียงใหม่ เอามาฝากไว้ให้คนที่คิดถึงญี่ปุ่น ปีนี้ยังไปเที่ยวญี่ปุ่นไม่ได้ ก็เที่ยวเชียงใหม่ไปพลางๆ ก่อนแล้วกันนะ รับรองชิคไม่แพ้ญี่ปุ่นเลย
การเดินทางไปเชียงใหม่
ทริปนี้เลือกบินกับสายการบิน Thai Smile อีกเช่นเคย เพราะเช็คราคาจากหลายๆ สายการบินแล้วก็ยังถูกที่สุดในช่วงที่เราเดินทาง อยากจะบอกหลายคนที่คิดว่าสายการบิน Full Service แพง เราอยากให้ลองเปรียบเทียบราคาก่อนตัดสินใจจองสายการบินโลว์คอสต์ เพราะหลายครั้งถ้ารวมค่าน้ำหนักกระเป๋า ค่าที่นั่ง เผลอๆ บินโลว์คอสต์ยังแพงกว่าอีกน้า วิธีการเปรียบเทียบราคาก็ไม่ยาก แค่จองตั๋วเครื่องบินผ่าน Traveloka เพราะเขามี Feature ให้เราเทียบราคา และโปรโมชั่นจากสายการบินต่างๆ เพื่อให้เราเลือกราคาที่ดีที่สุด/ถูกที่สุดได้ ไม่ต้องไปเปรียบเทียบเองให้เหนื่อย โดยสามารถลองเข้าไปเปรียบเทียบราคากับสายการบินได้ที่นี่เลยจ้า > Click <

จองตั๋วเครื่องบินไปเชียงใหม่กับ Traveloka
ถึงเชียงใหม่แล้วเราก็เช่ารถขับเหมือนเดิม เพราะสะดวกและอิสระกว่า สำหรับรถเช่า เราก็จองผ่าน Traveloka อีกเช่นกัน คือแค่คลิกเข้าเว็บไซต์ทราเวลโลก้าแค่คลิกเดียว ก็มีครบทุกพาร์ทเกี่ยวกับการเดินทางแล้ว ไม่ว่าจะเป็น ตั๋วเครื่องบิน โรงแรม รถเช่า รวมไปถึงกิจกรรมและทัวร์ต่างๆ ที่เป็นไฮไลท์ของแต่ละจังหวัดที่เราเดินทางไป สะดวก ครบครันแบบสุดๆ เอาละ .. ในเมื่อตั๋วพร้อม รถพร้อม ก็ได้เวลาไปสัมผัสความญี่ปุ่นที่เชียงใหม่กันแล้ววว ~
จองรถเช่าเชียงใหม่ กับ Traveloka
Mori Natural Farm
ฟาร์มสเตย์ชื่อดังที่ห้องพักคิวแน่นยาวแบบข้ามปีกันไปเลย ฉะนั้นขอออกตัวก่อนเลยว่า มนุษย์เชื่องช้าอย่างเรานั้น .. จองไม่ทันแน่นอน 555 แต่โชคดีที่เขามีโซนคาเฟ่เปิดรับคนที่ไม่ได้มาเข้าพักด้วย เราก็เลยอยากลองไปสัมผัสบรรยากาศด้วยตัวเองหน่อยสิว่าจะเหมือนญี่ปุ่นอย่างที่มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างหรือเปล่า?

Mori Natural Farm ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขาที่อำเภอแม่ริมค่ะ ขับรถจากตัวเมืองเชียงใหม่ไปประมาณหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น อันที่จริงที่นี่เขาจะมีบ้านพักทั้งหมด 4 หลัง ซึ่งออกแบบตกแต่งแตกต่างกันไป แต่จะมีบ้านเรียวกังที่ได้ฟีลญี่ปุ่นสุดๆ แน่นอนว่าจองยากสุดๆ เช่นกัน วันที่เราไปก็มีคนเข้าพักค่ะ แต่มองไม่เห็นเจ้าของบ้านก็เลยแอบถ่ายบรรยากาศรอบๆ ตัวบ้านมาสักหน่อย เออ ญี่ปุ่นจริงด้วยแฮะ ให้อารมณ์เหมือนบ้านพักตามชนบทที่เมืองเกียวโตยังไงยังงั้นเลย

สำหรับโซนคาเฟ่นั้นจะตั้งอยู่ด้านบนสุดเลยค่ะ ต้องเดินจากจุดจอดรถไปอีกประมาณ 5-10 นาที ผ่านบ้านพักของโมริ เนเชอรัลฟาร์มไปนี่แหละ แต่โซนที่พักเขาจะปักป้ายไว้ว่าเป็นพื้นที่สำหรับแขกที่มาเข้าพักเท่านั้น บรรยากาศก็เลยไพรเวทพอสมควรเลย ถ้ามีโอกาสก็น่ามาพักสักคืนค่ะ (ถ้าจองทัน 5555)


มีกฎเล็กน้อยสำหรับคนที่มาคาเฟ่ว่า ต้องสั่งอาหาร + เครื่องดื่มแบบจับคู่ ถึงจะไม่เสียค่าเข้าสถานที่ 50 บาท เพราะรวมอยู่ในค่าอาหารแล้ว สำหรับใครที่อยากมาถ่ายรูปหรือสัมผัสบรรยากาศที่ฟาร์มโดยไม่สั่งอาหาร ทางฟาร์มขอเก็บค่าบำรุงสถานที่ 50 บาท ซึ่งรายได้บางส่วนจะนำไปช่วยน้องหมาตามมูลนิธิด้วยค่ะ ส่วนเมนูอาหารนั้นก็มีทั้งคาว หวาน ถ้ายังไม่กินข้าวมาจะสั่งเซ็ตอาหารญี่ปุ่นก็ได้ หรือถ้าอิ่มมาแล้ว จะสั่งของกินเล่นอย่างเช่น เกี๊ยวซ่า หรือขนมหวาน คู่ชาสักแก้วแบบเราก็ได้จ้า


ไฮไลท์อีกอย่างของที่นี่ก็คือน้องหมาพันธุ์อาคิตะที่ทางฟาร์มเลี้ยงไว้ ซึ่งทางฟาร์มอยากให้ช่วยย้ำว่าที่นี่ไม่ใช่คาเฟ่หมา ฉะนั้นอย่าคาดหวังว่ามาถึงแล้วจะเจอน้องหมาทุกครั้งน้า เราจะได้เจอก็ต่อเมื่อเจ้าของพาน้องออกมาเดินเล่นเท่านั้นค่ะ ซึ่งเท่าที่อ่านรีวิวมาเขาบอกว่าจะเจอกันช่วงเช้าไม่ก็ช่วงเย็น ส่วนตัวเราไปถึงประมาณ 4 โมง ก็เจอน้องมิกิที่ราศีไอดอลจับมากกก พอมิกิมาถึงร้านเท่านั้น ทุกคนพากันลุกออกจากโต๊ะเพื่อไปเข้าแถวถ่ายรูปกับมิกิกันทั้งร้านเลย โอ้โห อย่างกะงานจับมือ 5555


เราว่าบรรยากาศที่นี่เหมือนชนบทที่ญี่ปุ่นอยู่เหมือนกันค่ะ แต่ถ้าได้มาพักคงฟินมากกว่า สำหรับใครที่จองห้องพักไม่ทัน แวะมานั่งชิลๆ ที่คาเฟ่ได้ เดี๋ยวนี้ร้านเปิดทุกวัน ตั้งแต่ 09.00 – 17.30 น. โดยไม่ต้องจองล่วงหน้าแล้วจ้า

Magokoro Teahouse
ดื่มด่ำกับบรรยากาศชนบทญี่ปุ่นไปแล้ว ขอพาย้อนกลับเข้าเมืองเชียงใหม่มาจิบมัทฉะฟินๆ กันต่อที่ Magokoro Teahouse หรือ มีใจให้มัทฉะ คาเฟ่ชาเขียวที่โด่งดังไม่แพ้ Mori Natural Farm เพราะคิวแน่นทุกวัน ฉะนั้นแนะนำให้รีบไปตั้งแต่ช่วงเช้าตอนร้านเปิดเลยนะคะ ถ้าไม่อยากรอคิวนาน เพราะเราไปถึงหลังร้านเปิดประมาณครึ่งชั่วโมง พอเข้าไปนั่งที่โต๊ะปุ๊บ คนก็เริ่มมายืนรอต่อแถวกันเพียบเลย เชื่อแล้วว่าร้านนี้เขาดังจริงอะไรจริงจ้า


ที่นั่งมีทั้งโซนอินดอร์ และเอาท์ดอร์ แต่โซนเอาท์ดอร์จะค่อนข้างได้รับความนิยม เต็มเร็วมาก เพราะอยู่ข้างๆ สวนญี่ปุ่น บรรยากาศดีทีเดียว


ไฮไลท์ของที่นี่แน่นอนว่าคือ มัทฉะ หรือ ชาเขียว ซึ่งได้ข่าวว่าทางร้านเขานำเข้ามาจากไร่ชาที่ได้รับรางวัลในประเทศญี่ปุ่นเลยค่ะ ฉะนั้นมั่นใจในคุณภาพได้ว่าแทบจะไม่ต่างที่ญี่ปุ่นเลย ในฐานะที่เราเป็นคนคลั่งมัทฉะ และไปญี่ปุ่นมาหลายครั้ง กล้าการันตีได้เลยว่ามัทฉะที่นี่รสชาติดีจริงๆ มีให้เลือกหลายเกรด และสามารถสั่งความหวานได้ตามที่ต้องการได้ด้วย คนรักชามั่นใจได้เลยว่าไม่ผิดหวังแน่นอนค่า



ที่ร้านมีขนมหวานให้สั่งด้วยนะ แต่ถ้าไปช่วงเช้าแบบเราจะยังมีให้สั่งไม่กี่อย่างค่ะ เราก็เลยสั่ง Matcha Roll หรือ โรลชาเขียว โอ๊ย อร่อยมาก รสชาติชาเข้มข้นและหวานน้อยกำลังดี เอาจริงๆ ไอศกรีมมัทฉะที่ร้านเขาก็ดังมากนะคะ เห็นว่ามีอีกหลายเมนูเลยที่น่ากิน ใครที่เป็นแฟนคลับมัทฉะคลั่งไคล้ชาเขียวแบบเรา ไปเชียงใหม่ห้ามพลาดเลยน้า ต้องไปโดนให้ได้! ร้านเปิดทุกวัน ตั้งแต่ 10.00 – 18.00 น. จ้า

Kōri kōri – こおり
เอาใจคนรักมัทฉะไปแล้ว ขอหันมาเอาใจคนรักเบเกอรี่ญี่ปุ่นอย่าง “ชูครีม” ต่อ เพราะร้านนี้เขาโด่งดังเรื่องชูครีมโฮมเมดมาก แถมยังราคามิตรภาพด้วยค่ะ บางวันถ้าไปช้าหน่อย หมด อดกินเลยน้า โดยชูครีมที่ร้านมีให้เลือกทั้งหมด 5 รสชาติ คือ ครีมโกโก้ ครีมสตรอเบอรี่ ครีมนมฮอกไกโด ครีมมัทฉะ และครีมมะนาว ราคาก็น่ารัก ลูกละ 55 – 65 บาทเท่านั้น ส่วนตัวเราสั่งครีมมะนาว (65 บาท) ตัวแป้งคือเนื้อเนียนนุ่มมาก อร่อยสมคำร่ำลือค่ะ



เมนูเครื่องดื่มเขาก็มี ราคามิตรภาพสุดๆ เริ่มต้น 30 บาทเท่านั้น แต่รสชาติดีทีเดียว ที่สำคัญคือบรรยากาศร้านคาวาอิสุด บวกกับสภาพอากาศของเชียงใหม่ช่วงปลายปีแบบนี้ เผลอนึกว่าตัวเองอยู่ย่าน Kita-sando ที่โตเกียวเลย ถึงแม้ตัวร้านจะไม่ใหญ่โตอะไร แต่ได้ฟีลโอะฮาโยเต็มๆ ไปเลย ร้านเปิดทุกวัน ตั้งแต่ 10.00 – 18.30 น. แต่ถ้าอยากกินชูครีมต้องรีบไปเร็วนิดนึงน้า เขาขายถึงประมาณ 16.00 น. หรือจนกว่าขนมจะหมดเท่านั้นจ้า


Nekoemon Cafe
คาเฟ่ขนาดใหญ่เอาใจคนรักญี่ปุ่นตั้งแต่ประตูทางเข้า ให้อารมณ์เหมือนยกเกียวโตมาไว้ที่เชียงใหม่ยังไงยังงั้น ร้านนี้นอกจากจะมีเมนูอาหารทั้งคาว หวาน รวมไปถึงเครื่องดื่มขายแล้ว สเปซของร้านยังกว้างขวางมาก แบ่งออกเป็นหลายโซน ซึ่งแต่ละโซนนั้นแน่นอนว่าตกแต่งสไตล์ญี่ปุ่นจ๋าเลย ไฮไลท์ก็คือที่นี่เขามีร้านสำหรับเช่าชุดยูกาตะเพื่อใส่ถ่ายรูปเพิ่มบรรยากาศอีกด้วย ใครที่อยากเพิ่มฟีลโอะฮาโยให้รู้สึกเหมือนอยู่ญี่ปุ่นเข้าไปอีกก็สามารถเช่าใส่เดินถ่ายรูปได้เลย




สำหรับที่นั่งนั้นมีทั้งโซนอินดอร์ และเอาท์ดอร์เลยค่ะ แต่มาเชียงใหม่ช่วงปลายปี อากาศดีๆ แบบนี้ แนะนำให้นั่งข้างนอกดีกว่า เพราะเย็นสบาย แถมยังชิลสุดๆ เนื่องจากที่นั่งด้านนอกจะตั้งอยู่ติดกับสวนญี่ปุ่นที่จัดไว้สำหรับถ่ายรูปเลย สั่งอาหารมานั่งกินให้อิ่มท้อง เสร็จก็ลุกไปถ่ายรูปต่อ ต้องเติมพลังให้เต็มที่ก่อน เพราะภายในค่อนข้างกว้างและมีมุมให้ถ่ายรูปเยอะเลย ร้านเปิดทุกวัน ตั้งแต่ 09.00 – 20.00 น. จ้า




Transit Number 8
มาถึงเชียงใหม่ ถ้าไม่พามาแวะคาเฟ่ยอดฮิตติดเทรนด์นัมเบอร์วันอย่าง Transit Number 8 คงไม่ได้ ยิ่งใครเป็นสายไอจีด้วยแล้ว ถ้าไม่มีรูปเช็คอินที่นี่คงถูกครหาว่ามาไม่ถึงเชียงใหม่แน่ อ้ะ แต่ถึงจะเป็นร้านดังแต่ก็ถือว่าไม่ผิดคอนเซปต์จุดเช็คอินฟีลญี่ปุ่นของเรานะ เพราะที่นี่มีมุมถ่ายรูปฟีลญี่ปุ่นให้แชะหลายมุมเลย โดยเฉพาะตู้กดน้ำสีแดงที่ทำให้รู้สึกถึงคิดถึงโตเกียวขึ้นมาทันที



ถ่ายรูปเสร็จก็เดินข้ามถนนมาชิมซอฟท์ครีมฝั่งตรงข้ามซะหน่อย อยากจะบอกว่า เฮ้ย มันอร่อยเกินคาดมาก ตอนเราไปเหลือแค่มัทฉะรสเดียว แต่เป็นชาเขียวที่เข้มข้นมาก ราคาแค่ 50 บาทเท่านั้น ร้านเปิดทุกวัน ตั้งแต่ 08.00 – 18.00 น. จ้า




Undostudio
มาต่อกันอีกร้านที่ต้องบอกว่าได้ฟีลญี่ปุ่นผสมเกาหลีนิดๆ แต่ความมินิมอลเก๋ไก๋นี่มาเต็ม คือเก๋ตั้งแต่ที่ตั้งของร้านแล้วจริงๆ เพราะตั้งอยู่บนดาดฟ้าของโกดัง ทางเข้าอาจจะลึกลับซับซ้อนนิดๆ เพราะถ้าไม่เคยอ่านรีวิวมาก่อนจะไม่มีทางรู้เลยว่ามีคาเฟ่อยู่ตรงนี้ด้วย แต่ไม่ต้องห่วงว่าจะหลงทางหรือไปไม่ถูกนะคะ เพราะเขามีป้ายบอกชัดเจน สามารถจอดรถด้านล่างแล้วเดินตามป้ายขึ้นไปได้เลย (ที่จอดรถมีจำกัด แนะนำไปช่วงเช้าสักหน่อย ช่วงเย็นๆ คนค่อนข้างเยอะค่า)



สำหรับที่นั่งมีทั้งโซนอินดอร์ และเอาท์ดอร์ค่ะ แต่ถ้าคนไม่แน่นจริงๆ แนะนำนั่งข้างในแล้วค่อยออกไปถ่ายรูปดีกว่า เพราะมุมที่นั่งด้านนอกมีคนอยากมาถ่ายรูปค่อนข้างเยอะค่ะ แล้วแดดก็อาจจะแรงด้วย ส่วนเมนูมีทั้งเครื่องดื่ม และขนมหวาน แนะนำ Lemon Tiramisu อร่อยมาก เปรี้ยวนิดๆ กำลังดี กินคู่ชาอัญชัน อร่อยลงตัวเลย อ้อ ร้านปิดทุกวันอังคารนะคะ ส่วนวันอื่นๆ เปิดตั้งแต่ 08.00 – 17.00 น. จ้า





Kumo Bake
ขอปิดท้ายด้วยร้านเบเกอรี่สุดคาวาอิที่ต้องบอกว่าถึงแม้ร้านจะจะเล็กแต่ก็เล็กพริกขี้หนูจริงๆ ค่ะ เพราะขนมอร่อยมากกก ซึ่งที่ร้านจะมีแค่เบเกอรี่ขายอย่างเดียวนะคะ แต่ก็มีคาเฟ่อีกร้านตั้งอยู่ข้างๆ กัน สามารถสั่งเครื่องดื่มจากร้านข้างๆ มานั่งกินได้ เราสั่ง New york cheese cake อร่อยถูกปากสุดๆ หวานน้อยกำลังดี กินแล้วไม่เลี่ยน ราคาก็ไม่แพงค่ะ แถมเขายังหัก 1 บาทจากทุกเมนูเพื่อบริจาคทุกเดือนตามความเหมาะสมด้วย




ตัวร้านนี่คือฟีลญี่ปุ่นมาเต็ม ไม่บอกไม่รู้สึกว่าอยู่ย่านนากา เมกุโระ ที่โตเกียว เราว่าแค่แวะไปกินขนมอร่อยๆ ก็คุ้มแล้วค่ะ ร้านปิดทุกวันพุธ ส่วนวันอื่นๆ เปิดตั้งแต่ 10.00 – 17.00 น. ค่า
