หนึ่งวันใน .. อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่
a day in Khao Yai National Park
- September, 2018 -
เขาใหญ่ ใกล้นิดเดียว .. แต่จะไปทำอะไร?
ก็ไปถ่ายรูป ไปพักใจ ไปซบไหล่ธรรมชาติ
ไปเรียนรู้บางอย่างจากห้องเรียนโคตรกว้างที่ชื่อว่า “โลก” ไง
: )

มีคนบอกว่า เวลาที่รู้สึกว่าปัญหามันคับตัว ให้ลองพาตัวเองไปที่กว้างๆ ดูสักครั้ง จะได้รู้สึกว่าแท้จริงแล้ว ตัวเรามันเล็กนิดเดียวเมื่อเทียบกับโลกที่กว้างใหญ่ใบนี้ แล้วเราก็จะมองปัญหาที่เกิดขึ้นเล็กตามไปด้วย .. เพราะฉะนั้นเวลาที่รู้สึกเหนื่อยขึ้นมาทีไร เรามักจะชอบพาตัวเองไปในสถานที่ที่ธรรมชาติมันยิ่งใหญ่กว่าตัวเรา ทริปนี้เลยพาตัวเองไป “อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่” อุทยานแห่งชาติแห่งแรกของประเทศไทย ตั้งอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพ ขับรถแค่ประมาณ 2 ชั่วโมงเท่านั้นเอง ยิ่งเป็นช่วงส่งท้าย Green Season แบบนี้ด้วย เขาบอกว่า “สีเขียว” จะกระตุ้นให้เรารู้สึกสดชื่น มีพลัง ลดความเหนื่อยล้า เฮ้ย มันใช่เลย! เพราะเขาใหญ่ช่วงนี้ มองไปทางไหนก็สดชื่น สบายตาไปหมด .. ป้ะ! พักเรื่องเหนื่อยล้าในช่วงวันทำงานที่ผ่านมา แล้วพาตัวเองไปซบไหล่ธรรมชาติ ให้ร่างกายและหัวใจได้พักผ่อนบ้าง แล้วจะแปลกใจว่าอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่มีจุดถ่ายรูปสวยๆ เยอะขนาดนี้เลยเหรอนี่!?
อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่

เวลาพูดถึง “เขาใหญ่” หลายคนอาจนึกถึงภาพรีสอร์ทสวยๆ คาเฟ่ชิคๆ มองภาพเขาใหญ่ว่าเป็นเมืองพักตากอากาศในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ เวลาเดินทางมาก็มักจะมองข้ามสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอย่าง “อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่” ไป แต่สำหรับเรา พื้นที่อุทยานนี่แหละโคตรพีค! มุมถ่ายรูปเยอะมาก เสียค่าเข้าแค่คนละ 40 บาท แต่มีจุดท่องเที่ยวให้แวะเยอะแยะเต็มไปหมด พื้นที่ภายในอุทยานก็กว้างมากกก ครอบคลุมถึง 4 จังหวัด สามารถเรียกว่าเป็น Road Trip ได้เลย เพราะมีจุดกางเต้นท์ด้วย จะแวะนอนสักหนึ่งคืนหรือจะไปแบบ One Day Trip ก็ได้ แต่หน้าฝนแบบนี้ แนะนำว่าเข้าไปเที่ยวแบบ Day Trip ดีกว่า รอไว้ให้ลมหนาวมาปลายปี แล้วค่อยไปกางเต้นท์นอนสักคืน ตื่นมาคงสดชื่นไปทั้งกาย ใจ : )
ค่าเข้าอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่
ผู้ใหญ่ คนละ 40 บาท
เด็ก 20 บาท
รถยนต์ (4 ล้อ) 50 บาท/คัน
รถจักรยานยนต์ 30 บาท/คัน
เวลาเปิด – ปิด : 6.00 – 18.00 น.
จุดถ่ายรูปสุดพีคในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่
อย่างที่บอกว่าภายในอุทยานนั้นกว้างใหญ่มาก สามารถขับรถทะลุไปออกฝั่งของจังหวัดปราจีนบุรีได้เลย ฉะนั้นควรเผื่อเวลาไว้เยอะหน่อย ถ้าอยากแวะให้ครบทุกจุดนะ ^^
น้ำตกเหวสุวัต

อันที่จริงในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่มีน้ำตกอยู่หลายแห่ง แต่ที่พีคสุดก็เห็นจะมีอยู่สองที่คือ น้ำตกเหวสุวัต และน้ำตกเหวนรก โดยน้ำตกเหวนรกจะตั้งอยู่ไกลกว่าถ้าขับรถมาจากทางฝั่งเขาใหญ่หรือจังหวัดนครราชสีมา (อุทยานสามารถเข้าทางจังหวัดปราจีนบุรีก็ได้)
ทางเดินไปน้ำตก ออกแรงเท้านิดหน่อยนะ เดินไม่ไกลเลย แต่ทางขึ้น - ลง บันไดปวดใจมากกก 555

ทริปนี้เราไม่ได้แวะไปน้ำตกเหวนรก เพราะเล็งเวลาแล้วไม่น่าจะทัน ก็เลยแวะไปแค่น้ำตกเหวสุวัต ซึ่งถ้าไปหน้าฝนแบบนี้ก็จะได้บรรยากาศเหมือนน้ำป่าไหลหลากประมาณนี้ 5555 น้ำเยอะมากกกก เชี่ยวมากกกก แต่ตรงทางเข้าจะมีระดับความปลอดภัยของน้ำบอกอยู่ ระบุไว้ที่ สีเขียว คือ ปลอดภัย ฉะนั้นเที่ยวได้หายห่วง แต่เราแอบเห็นรูปของคนอื่นที่เขามาช่วงฤดูอื่น น้ำจะน้อยกว่านี้ แล้วก็สามารถลงไปยืนแอคท่าถ่ายรูปแบบคูลๆ ดูหน้าผาของน้ำตกเลยได้เลย ก็จะได้อีกอารมณ์นึงนะ

ของเล่นสนุกๆ ของคนชอบถ่ายรูป มองเห็นน้ำตกมั้ยย

อ่างเก็บน้ำสายศร
เป็นอีกจุดที่ไม่อยากให้ขับรถเลยผ่านไป แม้มองเผินๆ อาจจะดูเหมือนเป็นแอ่งน้ำธรรมดา ไม่น่าจะมีอะไร แต่ตรงจุดนี้มีช่างภาพพรีเวดดิ้งมาปักหลักถ่ายรูปกันเยอะมากเลยนาจา เฉพาะวันที่เราไปก็ล่อไป 2 คู่แล้ว ฉะนั้นอ่างเก็บน้ำสายศรจึงเป็นอีกจุดที่สามารถแวะถ่ายรูปสวยๆ ได้


โดยเฉพาะต้นไม้เดียวดายที่เหลือทิ้งไว้เฉพาะกิ่งก้าน ไร้แววของใบไม้ มันโคตรจะได้ฟีลและชิลโคตร ฉะนั้นอย่าเผลอขับรถเลยผ่านไปเด้อออ



หอดูสัตว์หนองผักชี
ฟังแต่ชื่ออาจจะมีลังเล ดูไม่น่าไป แต่ถ้าได้ลองเดินเข้าไปจะเลิฟ! เพราะระหว่างทางมันได้ฟีลซาฟารีมากกกก โดยระยะทางเดินนั้นสั้นนีสเดียว แค่ประมาณ 800 เมตร สามารถเดินเข้าไปด้วยตัวเองได้เลย มีจุดจอดรถให้พร้อม เมื่อเดินไปจนถึงสุดปลายทางจะมีหอดูสัตว์ตั้งอยู่ สามารถขึ้นไปข้างบนเพื่อส่องดูสัตว์ได้ เขาบอกว่าส่วนใหญ่จะเห็นกันช่วงเช้ากับช่วงเย็น เพราะเป็นเวลาที่สัตว์ออกมาหากิน แต่เราไม่ได้ขึ้นไป เพราะฝนตั้งเคล้ามาแต่ไกล และตอนที่เดินเข้าไปก็ใกล้ 6 โมงเย็นแล้ว ถ้ายังดันทุรันขึ้นไปส่องสัตว์ข้างบนอีกอาจจะติดฝนอยู่ที่นี่ทั้งคืนก็เป็นได้ เอาจริงๆ สำหรับเรา แค่ระหว่างทางก็เต็มอิ่มมากแล้วนะ ฉะนั้นถ้าใครไม่ใช่สายส่องสัตว์ แค่เดินเข้าไปถ่ายรูประหว่างทางก็พีคแล้ว .. จริงๆ นะ


ระหว่างทาง
เราชอบ Road Trip เพราะ “ระหว่างทาง” เปรียบเสมือนเครื่องหมาย ? ที่ต้องออกเดินทางเท่านั้นถึงจะค้นเจอ ไม่เหมือนจุดหมายปลายทางที่เราปักหมุดเอาไว้ สถานที่เหล่านั้นเราสามารถหาดูจาก Google ก็ได้ เห็นจาก Facebook คนอื่นก็ได้ แต่ “ระหว่างทาง” เป็นเส้นทางและความทรงจำของแต่ละคน เพราะเราต่างมี “ระหว่างทาง” ไม่เหมือนกัน บางคนชอบน้ำก็อาจจะแวะจอดเมื่อเจอวิวทะเลสาบ บางคนชอบต้นไม้ ชอบภูเขา ก็อาจจะแวะจอดเมื่อเจอวิวต้นไม้ วิวภูเขา ซึ่งเป็นสถานที่ที่เราไม่ได้คาดหมายไว้ก่อนว่าจะเจอ ..

โดยส่วนใหญ่ “ระหว่างทาง” มักจะมาพร้อมกับ “บางเวลา” เมื่อเราได้เจอระหว่างทางที่ถูกใจในช่วงบางเวลาที่ใช่ เช่น บังเอิญขับรถผ่านทะเลสาบเล็กๆ ไร้ชื่อตอนพระอาทิตย์ตก สีท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีส้มอมชมพูโดยที่ไม่ได้คาดหวังหรือปักหมุดไว้ก่อนว่าจะได้มาเจอ หรือได้นั่งโง่ๆ ชิลๆ อยู่กลางธรรมชาติโดยที่ได้ยินแต่เสียงลมหายใจของตัวเอง โดยที่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตรงนั้นมันคือที่ไหนว๊า นั่นละมันคือความรู้สึกที่โคตรดีเลย เราว่ามันเหมือนของขวัญจากการเดินทาง เป็นเครื่องหมาย ? ที่เราจะไม่มีวันเติมคำในช่องว่างได้เลย ถ้าไม่กล้าที่จะออกเดินทางไปสัมผัสด้วยตัวเอง : )

" .. If you don't know where you are going, any road can take you there .. "
