“โลกตั้งกว้างใหญ่ จะไปยึดติดอะไรกับหัวใจที่ดวงเล็กนิดเดียว”
มีคนเคยบอกว่า “ถ้าชีวิตเหมือนหนังสือหนึ่งเล่ม การออกเดินทางจะทำให้หนังสือของเราหนาขึ้น” .. ก่อนเราก็เคยคิดแบบนั้น จนกระทั่งได้ออกเดินทางบ่อยขึ้น ถึงเพิ่งเข้าใจว่า การเดินทางแบ่งชีวิตของเราเป็นหนังสือสองเล่ม เล่มที่หนาขึ้นเขียนหน้าปกไว้ว่าความทรงจำ ส่วนอีกเล่มซึ่งอาจจะเคยขีดเขียน “อคติส่วนตัว” ไว้ มันกลับบางลง จนแทบจะกลายเป็นสมุดลายเส้นที่เว้นไว้สำหรับเติมเต็มบทเรียน

เพราะการเดินทางสอนให้เราตั้งกฎเกณฑ์กับชีวิตน้อยลง อคติที่เคยมีกับเพื่อนมนุษย์ก็เลือนรางจนแทบจางหาย เราได้เรียนรู้จากห้องเรียนที่ชื่อว่าโลก ซึ่งสอนเราว่า “น้อยคือมาก ยากคือง่าย” พูดกันแบบบ้านๆ ก็คือ “ยิ่งมีน้อยยิ่งเป็นสุข” และเรื่องยากๆ นั้น หากเรามองข้ามและรู้จักปล่อยวาง สิ่งเหล่านั้นมันก็แสนจะง่ายดาย

โพสต์นี้อาจจะไม่มีอะไรมากมาย นอกจากอยากถ่ายทอดความสวยงามของภูมิภาคที่อยู่เหนือสุดของญี่ปุ่นอย่าง ฮอกไกโด ซึ่งทริปนี้เป็นการไปเที่ยวฮอกไกโดครั้งที่ 4 ของเราแล้ว ก็เลยอาจจะไม่มีแผนเที่ยวหรือข้อมูลอะไรมากนัก เพราะเน้นเดินทางตามหัวใจ นั่งรถไฟสลับกับเช่ารถขับ เพื่อแวะถ่ายรูปแลนด์สเคปและสัตว์ท้องถิ่นที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติ แต่ก็หวังเพียงเล็กน้อยว่ารีวิวนี้อาจจะเป็นแรงบันดาลให้คนที่มีแพลนจะไปเที่ยว Hokkaido ได้มั่นใจว่า ฮอกไกโดนั้นสวยงามไม่แพ้ภูมิภาคใดเลย : )


การเดินทางสู่ ฮอกไกโด
จำได้ว่าเมื่อหลายปีก่อน เจอตั๋วบินตรงไปซัปโปโรในราคา 24,xxx บาท ดีใจแทบบ้านหมุน เพราะปกติตั๋วบินตรงไปฮอกไกโดแพงมากกก แต่เดี๋ยวนี้ตั๋วเครื่องบินราคาถูกลง ทำให้เราสามารถเดินทางไปเที่ยวฮอกไกโดได้ในราคาที่ประหยัดมากขึ้น ทริปนี้เราเองก็เดินทางกับสายการบิน Nokscoot ที่เพิ่งเปิดรูทบินตรงสู่สนามบินนิวชิโตเสะในราคาช็อกโลก! เริ่มต้นแค่ 3,xxx บาท/เที่ยวเท่านั้นเองค่ะ

Nokscoot เพิ่งเปิดไฟลท์บินตรงเส้นทางใหม่ สู่สนามบินนิวชิโตเสะ ซึ่งเริ่มบินกันไปแล้วเมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา แต่ทริปนี้เราเดินทางไปช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน โดยจองที่นั่งแบบ Scoot Plus ซึ่งเป็นที่นั่งที่กว้างกว่า Economy ค่ะ

อยากจะบอกว่ามันนั่งสบายมากแม่ เพราะเบาะที่นั่งมีพื้นที่วางขาถึง 38 นิ้ว ตัวเบาะกว้าง 22 นิ้ว และเอนได้เต็มที่ถึง 6 นิ้ว นั่งเอนหลังกันยาวๆ เพราะเวลาบินก็โอเคเลยสำหรับขาไป เครื่องออก 04.00 น. ไปถึงซัปโปโรตอน 12.15 น. ไม่เช้าเกินไป นอนหลับเอาแรงมาบนเครื่องแล้ว เที่ยวต่อได้แบบชิลๆ ไฟลท์ขากลับยิ่งเวลาดีใหญ่ เพราะเครื่องออก 14.55 น. ไม่ต้องรีบตื่นไปสนามบินแต่เช้า มีเวลาช็อปปิ้งซื้อของฝากก่อนบินกลับไปอี๊กก

สำหรับสิทธิพิเศษของ Scoot Plus นอกจากที่นั่งจะสบายกว่าแล้ว ยังมีอาหารอุ่นร้อนพร้อมเครื่องดื่มเย็นให้เลือกโดยไม่ต้องซื้อเพิ่ม แถมยังมีช่องเช็คอินแยกต่างหาก ไม่ต้องต่อแถวรอนาน รวมไปถึงเขาจะเปิดให้ผู้โดยสารในชั้น Scoot Plus ขึ้นและลงจากเครื่องก่อนอีกด้วยค่ะ สำหรับเรา ถือว่าการบินไปฮอกไกโดกับ Notscoot เป็นไฟลท์ที่ประทับใจทีเดียว ใครกำลังหาตั๋วเครื่องบินราคาดีๆ ไปซัปโปโร ลองเข้าไปเช็คราคาหรือจองโดยตรงผ่านเว็บไซต์ของ Notscoot ได้เลยจ้า 👉 https://www.nokscoot.com/th/

การเดินทางใน ฮอกไกโด
อย่างที่บอกว่าทริปนี้เน้นเดินทางไปตามหัวใจ นั่งรถไฟสลับเช่ารถขับ ซึ่งปกติแล้วเวลาไปฮอกไกโด เราก็จะใช้วิธีการเดินทางแบบนี้ ไม่ได้เลือกเดินทางด้วยรถไฟหรือเช่ารถขับแค่อย่างเดียว เพราะขับรถทางไกล เวลาเปลี่ยนเมืองนั้นจะมีพวกค่าทางด่วนที่เพิ่มขึ้นมา รวมถึงเวลาก็อาจจะไม่ดีเท่ากับนั่งรถไฟ เพราะที่นู้นต้องขับช้าค่ะ ขับเร็วไม่ได้ เราก็เลยจะใช้วิธีนั่งรถไฟเพื่อเปลี่ยนเมือง แล้วค่อยไปเช่ารถขับเป็นเมืองเมืองไป อาจจะเช่าแค่วันเดียวหรือ 2-3 วัน แล้วแต่ว่าจะแพลนอยู่ที่เมืองนั้นๆ กี่วันค่ะ

ช่วงที่นั่งรถไฟเปลี่ยนเมือง เราใช้ JR Hokkaido Rail Pass ค่ะ เพราะค่ารถไฟระหว่างเมืองนั้นค่อนข้างแพง ถ้าจ่ายเป็นเที่ยวๆ ฉะนั้นใครที่เน้นเปลี่ยนเมืองบ่อยๆ แบบเรา แนะนำซื้อพาสไปเลย คุ้มค่าแน่นอนค่ะ เพราะสามารถใช้ขึ้นรถไฟ JR กี่รอบก็ได้ ภายในจำนวนวันของพาสที่ซื้อ

JR Hokkaido Rail Pass มีให้เลือกทั้งหมด 4 แบบ คือ แบบใช้ติดต่อกัน 3, 5 หรือ 7 วัน แล้วก็แบบ 4 วัน ซึ่งแบบหลังนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ติดต่อกัน สามารถใช้ขึ้นรถไฟ JR วันไหนก็ได้ ภายใน 10 วันหลังจากเปิดใช้พาสค่ะ ราคาก็จะเริ่มต้นที่ 16,500 เยน ตีเป็นเงินไทยประมาณ 4,600 บาท ทริปนี้เราไปคุชิโระด้วย เอาแค่ค่ารถไฟไปกลับ ซัปโปโร – คุชิโระ ก็ราคาปาไป 19,980 เยนแล้ว ฉะนั้นเลือกใช้พาสเลยคุ้มกว่าเห็นๆ ค่า
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ JR Hokkaido Rail Pass ได้ที่นี่ 👉 http://www2.jrhokkaido.co.jp/global/english/ticket/index.html

Hokkaido University

มาถึงซัปโปโรวันแรกก็จะงงๆ สารภาพเลยว่าทริปนี้ไปแบบไร้ซึ่งแพลนใดๆ เพราะก่อนไป งานเยอะมากกก ก็ทำแผนแบบคร่าวๆ คือลงแค่เมืองที่จะเดินทางไปนอนแล้วก็จองโรงแรมแค่นั้น ส่วนสถานที่ต่างๆ เราเปิด IG แล้วตามรอยรูปสวยๆ ของคนญี่ปุ่นไป วันแรกก็เลยแวะมาที่มหาวิทยาลัยฮอกไกโดก่อน เพราะช่วงที่เราไปยังมีใบไม้เปลี่ยนสีอยู่ค่ะ

มหาวิทยาลัยฮอกไกโด เป็นหนึ่งในจุดชมใบไม้เปลี่ยนสียอดฮิตของฮอกไกโดเลยนา ก่อนหน้าที่เราจะไป มีเพื่อนๆ ไปเที่ยวฮอกไกโดกันเยอะ ถ่ายรูปลง FB เห็นว่าเริ่มร่วงแล้ว เลยไม่ได้คาดหวังอะไร แต่พอไปถึงก็เจอในมหาวิทยาลัยค่ะ ยังมีใบส้มๆ แดงๆ ให้พอถ่ายรูปได้อยู่ ส่วนตรงอุโมงค์แปะก๊วยยอดฮิตนั้นเริ่มร่วงโรยไปหมดแล้ว ในรูปนี้ถ่ายช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน ถือว่าโชคดีที่ยังได้เจอค่า


รูปนี้ถ่ายตรงด้านข้างมหาลัย ตรงนี้ยังพีคสวยอยู่ มีครบทุกสีเลย เขียว เหลือง ส้ม แดง
แผนที่ Hokkaido University
Teasign Tapioca & Tea Bar

ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยฮอกไกโดจะมีร้านชานมไข่มุกที่กำลังฮิตในซัปโปโรชื่อ Teasign Tapioca & Tea Bar เดินจากมหาลัยไปได้ค่ะ ไม่ไกลมาก เป็นร้านเล็กๆ แต่คนนี่ต่อแถวกันยาวเชียว ชานมของที่นี่สามารถเลือกระดับความหวานได้ รวมไปถึงเลือกปริมาณน้ำแข็งได้นะคะ ขนาดไซส์ของแก้วก็จะราคาต่างกัน

แก้วนี้ตีเป็นเงินไทยรู้สึกจะราคาเฉียด 300 ค่ะ อร่อยมาก เป็นชานมไข่มุกบราวน์ชูการ์ กินตอนอากาศหนาวๆ ฟินแบบบอกไม่ถูกค่ะ

แก้วนี้เป็นไซส์เล็ก (เล็กจิ๋วน่ารักเชียว 555) ราคาถ้าจำไม่ผิดน่าจะอยู่ที่หลักร้อยกว่าบาทค่า
แผนที่ Teasign Tapioca & Tea Bar
戸外炉峠の猫バス

ขยับออกมาจากซัปโปโร ไป Fukagawa เมืองเล็กๆ ที่อาจจะเป็นแค่ทางผ่านของหลายๆ คน แต่มีจุดถ่ายรูปสวยๆ ที่กำลังฮิตใน IG ของคนญี่ปุ่นตั้งอยู่ค่ะ 戸外炉峠の猫バス คือรถบัสสีเหลืองที่จอดเอาไว้อยู่ริมถนน ตั้งอยู่ใกล้ๆ จุดชมวิวเมือง Fukagawa จริงๆ แล้วก็เป็นแค่รถบัสสีเหลืองธรรมดา แต่คนญี่ปุ่นจะชอบมาถ่ายรูปลง IG กันค่ะ ใครขับรถผ่านไปทางที่จะไปอาซาฮิกาวะหรือบิเอะ ถ้ามีเวลาเหลือก็แวะมาถ่ายรูปตรงจุดนี้ได้นะคะ มีจุดจอดรถอยู่ใกล้ๆ จอดรถแล้วเดินไปได้เลย ใกล้กันนิดเดียวค่า


แผนที่ 戸外炉峠の猫バス

เราว่าเสน่ห์ของฮอกไกโดคือทิวทัศน์ที่แปลกตา รวมไปถึงธรรมชาติที่สวยงาม ใครเป็นคนชอบถ่ายรูปแลนด์สเคป ยังไงยังไงก็ต้องตกหลุมรักที่นี่แน่นอนค่ะ เราสามารถพบเห็นสัตว์ท้องถิ่นที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติระหว่าง Road Trip ที่ฮอกไกโดได้ ที่ดูจะเยอะหน่อยก็เจ้าสุนัขจิ้งจอกนี่แหละค่ะ จะเจอมากหน่อยที่ฮอกไกโดฝั่งตะวันออก แถวคุชิโระ ชิเรโทโกะนี่เดินกันเหมือนหมาแมวบ้านเราเลยล่ะค่ะ


จริงๆ ดูเหมือนเขาไม่ตื่นคนนะคะ แต่ก็ไม่แนะนำให้เดินเข้าไปใกล้ รูปนี้เรานั่งถ่ายจากในรถ โดยที่งัดเลนส์ 55-200mm ออกมาใช้ ซูมได้ในระดับนี้นี่ถือว่าแจ่มว้าวมากๆ เลย

หลังจากถ่ายรูปสุนัขจิ้งจอกเสร็จ ขับรถมาอีกสักพัก เจอแมววว
Kaiyodai Observatory
ตรงนี้คือหอดูดาวในเมือง Shibetsu ชื่อ Kaiyodai Observatory (開陽台展望台) เราเห็นใน IG คนญี่ปุ่นชอบมาถ่ายรูปดาวกันค่ะ แต่เราผ่านมาตอนกลางวันระหว่างทางที่จะขับรถไป Notsuke Peninsula สามารถแวะขึ้นไปชมวิวได้ หรือถ่ายรูปตรงนี้ก็คูลไปอีกแบบ ที่นี่เข้าฟรีไม่เสียค่าใช้จ่ายค่า

หอดูดาวแห่งนี้ตั้งอยู่บนที่ราบสูงระดับ 270 เมตร ถึงจะไม่ค่อยสูงมากแต่ก็มองเห็นวิวทิวทัศน์ได้กว้างสุดลูกหูลูกตาเลยค่ะ

แผนที่ Kaiyodai Observatory
Milk Road
ขับรถออกมาจาก Kaiyodai Observatory ได้แค่นิดเดียว ถึงกับต้องเบรกรถดังเอี๊ยดดดดดด เพราะเจอเส้นถนนที่สวยมากกกกก คือ 北19号ミルクロード หรือ Milk Road ตอนแรกเราไม่รู้เลยว่ามีถนนสวยๆ แบบนี้อยู่ที่เมืองนี้ด้วย เห็นว่ามันสวยเลยแวะถ่ายรูป แต่มารู้ทีหลังว่าถนนเส้นนี้ดังมากทีเดียว แล้วก็เป็นถนนที่ทำให้เมือง Shibetsu เป็นที่รู้จักมากขึ้นด้วยล่ะค่ะ

ขับรถในฮอกไกโดง่าย เพราะรถน้อยมากกกกกก นานน๊านนานนานทีถึงจะมีรถวิ่งผ่านค่ะ แต่ถ้าจะถ่ายรูปกลางถนน ยังไงก็อย่าลืมดูรถด้วยนะคะ เพราะยิ่งรถน้อยก็จะยิ่งขับเร็วกันค่ะ

แผนที่ Milk Road
Blue Pond
อันนี้คงไม่ต้องบรรยายเพราะทุกคนคงรู้จักกันดีอยู่แล้ว ที่นี่คือ Blue Pond ที่แสนโด่งดังของฮอกไกโดนั่นเองค่ะ จริงๆ แล้วเรามาที่นี่ช่วงที่เช่ารถบ้านขับ ซึ่งเคยรีวิวเอาไว้แล้วที่ > https://www.movearound-journey.com/campervan-in-hokkaido/ ใครสนใจอยากเช่ารถบ้านขับเที่ยวฮอกไกโดบ้าง ตามไปอ่านรีวิวในลิงก์ที่ให้ไปได้เลยน้าา

แผนที่ Blue Pond
Notsuke Peninsula Nature

มาถึงสถานที่ที่ปักหมุดไว้อย่างแน่นหนาว่าอยากไปมากที่สุดในทริปนี้ นั่นก็คือ Notsuke Peninsula Nature เพราะเราเห็นรูปกวางท้องถิ่นของฮอกไกโดใน IG คนญี่ปุ่นแล้วรู้สึกว่า เฮ้ย มันโคตรมีเสน่ห์เลย ได้ถ่ายรูปกวางโดยที่มีทะเลและภูเขาเป็นฉากหลัง ทริปนี้เราก็เลยตั้งใจเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าต้องไปที่นี่เพื่อถ่ายรูปกวางให้ได้!

Hokkaido Ezo Deer เป็นกวางท้องถิ่นของฮอกไกโด ตัวจะค่อนข้างใหญ่ มีเขา ดูแข็งแรง เป็นสัตว์อนุรักษ์ที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติ ซึ่งสามารถพบได้ง่ายที่ Notsuke Peninsula Nature นี่แหละค่ะ

Notsuke Peninsula Nature เป็นสันทรายที่ยื่นลงไปในทะเลอยู่ไม่ไกลจากเมือง Shibetsu สามารถขับรถจากคุชิโระไปโดยใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าค่ะ ถ้าใครตั้งใจมาถ่ายรูปกวาง แนะนำให้มาถึงเย็นๆ หน่อย ประมาณ 3 โมงเป็นต้นไป เพราะเท่าที่เราสังเกต กวางจะออกมาเยอะตอนเย็นๆ ค่ะ เรามาถึงตั้งแต่บ่าย 2 เจออยู่แค่ตัวเดียว แต่พอ 3-4 โมงนี่เจอกันแบบรายทางเลยค่ะ ถ้าขับรถก็ระวังกวางด้วยน้า เจ้าถิ่นที่นี่ข้ามถนนกันแบบไม่เกรงกลัวรถเลย

แผนที่ Notsuke Peninsula Nature
Kotan Onsen Hot Spring
ทั่วทั้งญี่ปุ่นนั้นมีออนเซ็นธรรมชาติซึ่งสามารถลงแช่ได้ฟรีอยู่หลายแห่งเลยนะคะ ที่ฮอกไกโดเองก็มีอยู่หลายแห่งเช่นกัน ในรูปนี้คือ コタン温泉 หรือ Kotan Onsen Hot Spring เป็นออนเซ็นลับๆ ที่อยู่ริมทะเลสาบคุชชาโระ จังหวัดคุชิโระค่ะ เราเคยรีวิวแบบเต็มๆ เอาไว้แล้วที่ > https://bit.ly/2YyfUpj ใครสนใจอยากลองสัมผัสความรู้สึกในการแช่ออนเซ็นฟรีกับฝูงหงส์ ตามไปอ่านรีวิวกันได้เลยค่า

ฟินแค่ไหนถามใจดู แช่ออนเซ็น ดูแสงเย็นกับฝูงหงส์ เป็นโมเมนต์ที่จะไม่มีวันลืมเลยค่ะ

อยากเจอหงส์ต้องมาช่วงหน้าหนาวน้า จะมีนกหลายชนิดบินหลบหนาวอพยพมาอยู่ที่ฮอกไกโดค่ะ รูปนี้งัดเลนส์ 55-200mm มาซูมหงส์อีกเช่นเคย ส่วนตัวช่างภาพอย่างอิชั้นนั้นนั่งหนาวมือแข็งอยู่ริมทะเลสาบค่า

แผนที่ Kotan Onsen Hot Spring
Sunayu

ขับรถต่อมาอีกไม่ไกล จะเจอ Sunayu เป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวของทะเลสาบคุชชาโระ ซึ่งเราเคยมาตอนฤดูร้อนแล้วครั้งนึงค่ะ ตอนนั้นก็มายืนถ่ายรูปตรงนี้เลย แต่อากาศสบายกว่านี้เยอะ ตอนนี้หนาวมากกก 555 ญี่ปุ่นนี่ต่อให้กลับไปที่เดิมแต่เปลี่ยนฤดู ก็ได้ความรู้สึกที่แตกต่างนะคะ กี่ครั้งก็ไม่เคยพอเลยจริงๆ

ถึงแม้ฮอกไกโดทริปนี้จะเป็นครั้งที่ 4 ของเรา แต่เราเชื่อว่ามันยังไม่ใช่ครั้งสุดท้ายแน่นอนค่ะ เพราะยังเที่ยวไม่ทั่วเลย แล้วก็ยังมีอีกหลายเมือง อีกหลายมุมที่อยากแวะไปถ่ายรูป ใครที่มีแพลนกำลังจะไปฮอกไกโดครั้งแรก เราอยากเตือนเอาไว้สั้นๆ แค่อย่างเดียว คือ .. “ระวังจะตกหลุมรักฮอกไกโด” จนถอนตัวไม่ขึ้นเหมือนเรานะคะ เอาไว้ถ้ามีครั้งที่ 5 / 6 / 7 / 8 ฯลฯ อีกเมื่อไร เราจะเอารูปสวยๆ มาฝากกันอีก ส่วนตอนนี้ .. ขอพักตรงนี้ก่อนนะ ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงรูปสุดท้ายค่า : )