แผนเที่ยว “Dragon’s Back” บินลัดฟ้า ไปตะกายป่าฮ่องกง

แผนเที่ยว "Dragon’s Back" บินลัดฟ้า ไปตะกายป่าฮ่องกง

One Day Trip in Hong Kong

- October, 2017 -

“..หมอกจางๆ และควัน คล้ายกันจนบางทีไม่อาจรู้ .. .” ระหว่างที่กำลังแต่งรูปฮ่องกงเซ็ตนี้ อยู่ดีๆ เพลง หมอกและควัน เวอร์ชั่น พี่เบิร์ด ธงชัย แมคอินไตย ก็ลอยผ่านจิตนาการเข้ามาในหู ไม่รู้ว่ามีใครเห็นภาพเซ็ตนี้แล้วคิดถึงเพลงนี้เหมือนกันมั้ย แต่สำหรับคนที่มีความทรงจำและประสบการณ์ร่วมอยู่ในรูปภาพแบบเรา ขอยกให้เป็นเพลงเข้าจังหวะประจำแผนนี้ไปเลย เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ได้ไฮกิ้งท่ามกลางสายหมอก ; D  .. พูดถึงฮ่องกง เราว่าหลายคนคงเดินทางไปเพื่อช็อปปิ้งบ้าง หรือตะลุยกินบ้าง แต่ยังมีฮ่องกงอีกมุมที่เราอยากนำเสนอนะ เพราะประเทศที่มีขนาดพื้นที่พอๆ กับกรุงเทพฯ ของประเทศไทย รวมถึงมีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจระดับแนวหน้าของโลกจนมีภาพจำว่าเป็นเมืองธุรกิจที่มีแต่ตึก ตึก ตึก เนี่ย ความจริงแล้วเขามีพื้นที่สีเขียวในอัตราส่วนเกือบจะเท่าตึกระฟ้าทั้งหลายเลย ซึ่งทำให้เราทึ่งมาก และรู้สึกรักฮ่องกงในมุมสีเขียวๆ มากกว่า ดังนั้นสิ่งที่ตามมากับธรรมชาติซึ่งยังคงอัดแน่นของเกาะฮ่องกงก็คือ “กิจกรรมไฮกิ้ง” หรือการเดินป่า ปีนเขา ระยะสั้น แบบจบได้ใน 1 วัน ไม่ต้องกางเตนท์เพื่อค้างคืน ที่สำคัญ เส้นทางเดินป่า (Trail) ต่างๆ ของที่นี่ยังทำดีมากกก โดยเฉพาะ “Dragon’s Back” ที่เราจะพาไปตะกายกันในแผนนี้ รับรองว่าเหมาะสำหรับคนเริ่มต้นไฮกิ้งครั้งแรก หนำซ้ำ นิตยสาร Time ยังเคยนิยาม Dragon’s Back ว่า “The Best Urban Hike in Asia” อีกด้วยน้า ฉะนั้นถ้าใครอยากลองเที่ยวฮ่องกงในมุมใหม่ๆ ดูบ้าง ก็ผูกเชือกรองเท้าให้แน่น แล้วตามมาเลย!

Dragon's-Back-3

รู้จัก Dragon’s Back หรือ สันหลังมังกรแห่งเกาะฮ่องกง

❤️  Dragon’s Back หรือแปลเป็นไทยแบบบ้านๆ ว่า “แผ่นหลังมังกร” นับเป็นเส้นทางเดินป่าที่ดีที่สุดในฮ่องกง สามารถเดินได้ทุกรุ่น ทุกวัย ไม่อันตราย เพราะเส้นทางส่วนใหญ่เป็นแนวราบไปตามสันเขาคล้ายสันหลังของมังกร ไม่ค่อยมีจุดที่สูงชันเท่าไร ฉะนั้นอากง อาม่า ชาวฮ่องกงจึงนิยมมาเดินเล่น ออกกำลังกายกัน แต่ถ้านับรวมเส้นทางทั้งคอร์สจะมีระยะทางรวมทั้งหมด 8.5 กิโลเมตร ซึ่งถือว่าค่อนข้างไกลเลยทีเดียว ฉะนั้นถึงจะไม่สูงชัน แต่ก็เล่นเอาเหนื่อยจนหอบแตกไปหลายรอบเหมือนกันนะ (555) คนที่จะมาเดินจึงต้องมั่นใจในศักยภาพความอึดของตัวเองพอสมควร แต่ไม่ว่าใครก็สามารถพิชิตเส้นทางนี้ได้ ถ้าใจมุ่งมั่นพอ เชื่อเราเถอะ : )

❤️  Dragon’s Back ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของฮ่องกง ในเขตของอุทยานแห่งชาติเช็คโอ (Shek O Country Park) เป็นเส้นทางเดินป่าที่เหมาะสำหรับคนเมืองสุดๆ เพราะเดินทางไปง่าย แค่นั่งรถไฟใต้ดิน ต่อรถบัส เท่านี้ก็จะถึงจุดเริ่มต้นเส้นทางการพิชิตสันหลังมังกรแล้ว (ดูวิธีการเดินทางแบบละเอียดด้านล่างน้า)

❤️  ระยะเวลาในการเดินแบบเต็มคอร์ส ในเว็บไซต์ Discoverhongkong ระบุไว้ว่า 4 ชั่วโมง แต่เชื่อเถอะว่าเกิน (555) เพราะถ้ารวมแวะพักหรือถ่ายรูปด้วยก็น่าจะประมาณ 5-6 ชั่วโมงได้ แต่ใครที่ฟิตๆ หน่อย เราว่าก็สามารถเดินให้จบภายใน 4 ชั่วโมงได้นะ แต่ไม่ต้องรีบหรอก เพราะสิ่งที่ดีที่สุดของการไฮกิ้งมันคือการซึมซับบรรยากาศและความรู้สึกระหว่างทางมากกว่า ที่สำคัญ วิวของเส้นทาง Dragon’s Back เนี่ย ถือว่าสวยงามและชวนให้หายเหนื่อยไปได้เยอะเลย

 

ปล. เสียดาย วันที่เราไปเดิน หมอกลงจัด เลยอดเห็นวิวสวยๆ แบบเคลียร์ๆ แต่ตั้งปนิธานแล้วว่าจะต้องไปแก้มืออีกครั้งอย่างแน่นอน ฉะนั้นสำหรับทริปนี้ ไปเที่ยว Dragon’s Back แบบฟีลหมอกหรือควันไปก่อนน้า : )

Dragon's-Back-1

การเดินทางสู่เส้นทางสันหลังมังกร

❤️  ทริปนี้เราเดินทางสู่ฮ่องกงด้วยสายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิค (Cathay Pacific) จองผ่านเว็บไซต์ Traveloka ได้ราคาดีเลยทีเดียว เพราะเราจองตั๋วเครื่องบินไปฮ่องกงล่วงหน้านานพอสมควร รวมถึง Traveloka เองก็ชอบมีส่วนลดมายั่วใจอยู่เสมอๆ แต่เราเพิ่งมาค้นพบว่าจองตั๋วเครื่องบินผ่านแอปพลิเคชัน Traveloka App สะดวกกว่าเยอะเลย ที่เจ๋งคือ ใน App สามารถเลือกให้โชว์ราคาต่ำที่สุดของเดือนได้ด้วย ฉะนั้นถ้ามีวันหลวมๆ ไว้ว่าจะเดินทางช่วงเดือนไหน ก็แค่ติ๊กให้ App โชว์ราคาต่ำสุดซึ่งจะขึ้นโชว์มาเป็นราคาของแต่ละวันในปฏิทินของเดือนนั้นๆ เท่านี้ก็จะเห็นว่าควรเลือกเดินทางวันไหนถึงจะได้ราคาถูกที่สุด แหมะ! แบบนี้ยิ่งง่ายต่อการเสียทรัพย์เพื่อไปเที่ยวเข้าไปใหญ่ เพราะเทคโนโลยีสมัยนี้ช่วยทำให้เราวางแผนเพื่อประหยัดงบประมาณไปได้เยอะ เข้าคอนเซปต์ “Work Hard, Travel Harder” สโลแกนประจำตัวของพวกเรา : p

Travel2

❤️   เมื่อถึงฮ่องกงแล้ว เข้าที่พัก เดินเล่นช็อปปิ้งชิลๆ สักวัน กินให้เต็มที่ด้วยนะ เพราะจะไปเดินป่าตะกายเขานี่ต้องใช้พลังเป็นอย่างมากก ส่วนวิธีการเดินทางไป Dragon’s Back ก็แสนง่ายดาย เราขออิงจากย่านที่พักของเราซึ่งเป็นย่านยอดฮิตของคนไทยอย่าง “จิม ซา จุ่ย” นะ

✍️ วิธีการเดินทางไป Dragon’s Back
นั่งรถไฟใต้ดิน MTR สาย Tsuen Wan Line (สีแดง) จากสถานี Tsim Sha Tsui ลงสถานี Admiralty แล้วเปลี่ยนไปนั่งสาย Island Lind (สีฟ้า) ลงสถานี Shau Kei Wan ทางออก A3 เมื่อขึ้นมาจะเจอกับจุดจอดรถบัส ขึ้นรถบัสสาย 9 แล้วลงป้าย Shek O Country Park

* หมายเหตุ : (ดูแผนที่ประกอบ) อันที่จริงจุดสตาร์ทปกติซึ่งนับเป็นต้นทางของ Trail ที่คนฮ่องกงนิยมไปตั้งต้นจะเริ่มที่ป้ายรถบัส To Tei Wan ซึ่งอยู่ถัดไปจากป้าย Shek O Country Park ซึ่งเส้นทางแบบเต็มคอร์สของ Dragon’s Back นั้นจะเดินผ่านเส้นทางสันหลังมังกร ผ่าน Shek O Peak แล้วไปสิ้นสุดที่หาด Big Wave Bay หรือจะเดินไปจนถึงหมู่บ้าน Shek O ก็ได้ แต่นักท่องเที่ยวหรือนักไฮกิ้งมือสมัครเล่นส่วนใหญ่จะไม่เดินเส้นทางเต็มคอร์สขนาดนั้น จะนิยมเดินจากป้ายรถบัส To Tei Wan ถึงป้ายรถบัส Shek O Country Park แล้วนั่งรถกลับเข้าเมือง แต่เราสามารถเลือกสตาร์ทจากป้าย Shek O Country Park หรือ To Tei Wan ก่อนก็ได้ เพราะไม่ว่าจะสตาร์ทที่จุดไหน เราก็จะได้เดินผ่านเส้นทางเหมือนกัน (แค่สวนทางกัน) สำหรับแผนนี้เราจะตั้งต้นที่ป้าย Shek O Country Park เพราะนั่งรถบัสถึงก่อน เดินไปตามทางเรื่อยๆ จนถึงป้าย To Tei Wan แล้วก็นั่งรถบัสกลับ ไม่ได้เดินไปถึง Big Wave Bay น้า : )

เส้นทางเดินป่า และจุดแวะของ Dragon’s Back

จุดเริ่มต้นของ Dragon’s Back จากป้าย Shek O Country Park ช่วงแรกๆ จะเป็นทางเดินบรรยากาศป่าเขาลำเนาไพร มีบันไดให้เดินในช่วงต้นๆ หลังจากนั้นก็เริ่มเป็นดินและหินที่ถูกสร้างเป็นทางชั้นบันไดแทน อารมณ์แบบเดินป่าเลย ช่วงแรกอาจจะเหนื่อยมากหน่อย เพราะยังไม่มีวิวสวยๆ ให้เห็น แต่ก็จะมีบางช่วงที่ต้นไม้ใบไม้เปิดกว้างพอให้เห็นวิวบ้าง แต่พอหลุดออกจากป่าเขาเท่านั้นแหละ โอ้ว มายก้อด เราจะพบว่า ขณะนั้นได้เดินขึ้นสู่สันหลังมังกรแห่งแดนมังกรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ลองหันหลังมองกลับไปจะเห็นแนวสันเขาเป็นเส้นทางยาวเลี้ยวลดคล้ายสันหลังมังกรสมชื่อจริงๆ 

ทางเดินช่วงแรก และเส้นทางของสันหลังมังกรก่อนไปถึงจุดพีค

Shek O Peak

นับเป็นจุดชมวิวจุดแรก ถ้าเริ่มต้นเดินจากป้าย Shek O Country Park แต่จริงๆ แล้วถือว่าเป็นจุดพิชิตของ Dragon’s Back ก็ว่าได้ เพราะถ้าเริ่มต้นเดินมาจากป้าย To Tei Wan จะเป็นจุดสุดท้ายเลย ตอนแรกก็แปลกใจว่าทำไมคนที่เดินมาจากฝั่ง To Tei Wan ถึงได้ทำท่าเหนื่อยและดีใจกันนัก พอเดินสวนผ่านไปถึงได้เริ่มเข้าใจว่าเส้นทางจาก To Tei Wan นั้นค่อนข้างลำบากกว่าช่วงต้นของป้าย Shek O Country Park พอตัวเลย มีบันไดเยอะขั้นกว่า มีจุดขึ้นลงค่อนข้างถี่ แต่ไม่ว่าจะสตาร์ทจากป้ายไหน เราก็จะต้องเดินผ่านเส้นทางเดียวกัน เพียงแต่ว่าถ้าเดินจาก To Tei Wan อาจจะได้อารมณ์แบบลำบากก่อนแล้วค่อยสบาย พอมาถึงจุด Shek O Peak ก็เลยฟินเป็นสองเท่า เพราะ Shek O Peak นับเป็นจุดที่สูงที่สุดของ Dragon’s Back สูงจากระดับน้ำทะเล 284 เมตร ตรงนี้จะมีที่นั่งพักให้ชมวิวสวยๆ ด้วย แต่เราไปช่วงหมอกลงหนา ฉะนั้นภาพที่ได้มาก็ไม่พ้นหมอกจางๆ และควันนะจ้ะ ; p

Dragon's-Back-7
Vantage Point over Shek O Peninsula

จุดนี้เป็นจุดไฮไลท์ที่ควรแวะถ่ายรูป เพราะถ้าหมอกไม่ลงจัดจะได้เห็นภาพหมู่บ้าน Shek O จากมุมสูง เป็นหมู่บ้านริมทะเล เห็นเกาะแก่งต่างๆ ของฮ่องกง สวยงามน่าดูชม แต่ตอนนั้นหมอกลงหนาจนมองแทบไม่เห็นอะไรแล้ว เราก็เลยถือโอกาสนั่งพักตากลมเย็นๆ แทน ข้อดีของการไฮกิ้งท่ามกลางสายหมอกก็คือไม่ค่อยร้อนเท่ากับตอนเดินช่วงแดดจัดๆ เพราะจะมีละอองหมอกเย็นๆ พัดผ่านร่างกายไปตลอด เป็นความรู้สึกที่แตกต่างจากตอนที่มองเห็นอยู่ไกลๆ เลย เพราะตอนลงมาถึงด้านล่างแล้วมองกลับขึ้นไป ก็แอบนึกในใจว่า “ถ้าตอนมาถึง หมอกลงจัดขนาดนี้คงไม่ตะกายขึ้นไป” เพราะมันดูทะมึนน่ากลัว แต่เอาจริงๆ พอเราเข้าไปอยู่ในหมอกนั้นแล้ว มันกลับรู้สึกเย็นสบาย ไม่รู้สึกเสียดายที่อดเห็นวิวสวยๆ แฮะ เพราะสิ่งที่ได้รับ ณ ตอนนั้น มันคือความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่กว่า มันคือช่วงเวลาที่เราได้บอกกับตัวเองเบาๆ ว่า .. เฮ้ย ทำสำเร็จแล้วว่ะ : )

Dragon's-Back-13
Dragon's-Back-4

หมู่บ้าน Shek O วันที่หมอกลงจัด แต่ในวันฟ้าใสจะสวยงามมากทีเดียว หรือจะลงไปเดินเที่ยวที่ Shek O Beach เลยก็ได้น้า

" .. At some point in life, the world's beauty becomes enough .. "
Niichiiz *
Niichiiz *https://movearound-journey.com
IG : https://www.instagram.com/niichiiz13

Related Stories

Discover

วิธีกรอกใบตม. ขาเข้าประเทศจีน (China Arrival Card)

อ้าแขนเตรียมต้อนรับ 'ประเทศฟรีวีซ่า' น้องใหม่ล่าสุดอย่าง 'ประเทศจีน' ที่กำลังจะเริ่มยกเว้นวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวไทยในวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2567 เป็นต้นไป ด้วยการรีวิวขั้นตอนการผ่าน ตม. ซึ่งเป็นด่านแรกของการเดินทางท่องเที่ยวเมืองจีนด้วยตัวเอง หลายคนที่เพิ่งเคยไปเมืองจีนครั้งแรก อาจจะยังแอบกังวลว่าพอฟรีวีซ่าแล้วยังไงนะ?...

วิธีสมัคร Alipay และผูกบัตรเพื่อใช้จ่ายในจีน แบบละเอียด

เตรียมตัวไปเที่ยวประเทศจีนด้วยตัวเอง ขานรับ "ฟรีวีซ่า" เดินทางเข้าประเทศจีนแบบอิสระ ไม่ต้องเสียค่าวีซ่าเพิ่มอีกต่อไป! เชื่อว่าหลายคนที่ได้ยินข่าวฟรีวีซ่าจีนคงต้องมองหารีวิวเที่ยวจีนด้วยตัวเองอยู่แน่ๆ อยากจะบอกว่าการเที่ยวจีนด้วยตัวเองนั้นไม่ยากอย่างที่คิดเลยค่ะ เพียงแค่ต้องเตรียมตัวมากกว่าประเทศอื่นเล็กน้อย เพราะประเทศจีนเป็นสังคมไร้เงินสดแทบจะร้อยเปอร์เซ็นแล้ว ฉะนั้นการใช้จ่ายทุกสิ่งอย่างในจีนนั้นสามารถจ่ายผ่าน Alipay ได้ทั้งหมดเลย โพสนี้เราก็เลยอยากมาแนะนำวิธีสมัคร Alipay...

รวม 10 ที่เที่ยวที่พัก ฟุกุอิ (Fukui) เมืองสวยอันซีนของญี่ปุ่น

เอ่ยชื่อ ฟุกุอิ (Fukui) หลายคนอาจจะไม่ค่อยคุ้นหูกันเท่าไรใช่ไหมคะ เพราะจังหวัดนี้คนไทยยังไปเที่ยวกันค่อนข้างน้อย แต่ฟุกุอิเนี่ย เป็นหนึ่งในจังหวัดยอดนิยมของคนญี่ปุ่นเลยน้า คนญี่ปุ่นไปเที่ยวกันเยอะมากกก เยอะจนเรายังแอบตกใจ เพราะไม่นึกว่าเมืองรองของญี่ปุ่นจะมีนักท่องเที่ยวเยอะขนาดนี้ แต่ก็ไม่แปลกใจเลย เพราะฟุกุอิเป็นจังหวัดที่มีเสน่ห์และน่าค้นหาแบบสุดๆ สถานที่ท่องเที่ยวแต่ละที่ทำเอาเราอึ้งไปเลยว่า โอ้วว...

แผนเที่ยว Ishikawa 3 วัน 2 คืน พร้อมรีวิวที่พัก

เพิ่งกลับมาจากญี่ปุ่นครั้งล่าสุด โดน “อิชิกาวะ” (Ishikawa) ตกไปแบบเต็มๆ หลงรักจังหวัดนี้เข้าเต็มเปาเลยค่ะ เป็นจังหวัดที่มีที่เที่ยวหลากหลายมาก ทั้งธรรมชาติ วัฒนธรรม พิพิธภัณฑ์ และมุมถ่ายรูปสวยๆ รู้สึกว่ามาแค่จังหวัดเดียวแต่เหมือนได้เที่ยวหลากหลายไวบ์ เลยไม่อยากโดนตกอยู่คนเดียว เดี๋ยวโพสนี้จะพาไปหลงเสน่ห์อิชิกาวะด้วยกันน้าหลายคนอาจจะไม่คุ้นชื่อ...

พาเที่ยว 2 ตลาดคริสต์มาส โตเกียว Tokyo Christmas Market 2023

Hello December! ตอนนี้เดินไปที่ไหนในญี่ปุ่นก็เต็มไปด้วยบรรยากาศงานคริสต์มาสแล้วล่ะค่ะ แน่นอนว่าตลาดคริสต์มาสก็เป็นหนึ่งในไฮไลท์ของช่วงนี้เลย มีจัดในหลายที่ หลายเมืองมากๆ ปีนี้บรรยากาศคึกคักสุดๆ ใครมีแพลนมาเที่ยวโตเกียวช่วงปลายปีนี้ ปักหมุดโพสนี้ไว้เลย เดี๋ยวเราจะพาเที่ยว 2 ตลาดคริสต์มาส โตเกียว กันค่ะในงานมีของกินมาออกบูธหลายร้านมาก...

แชร์พิกัด กิน เที่ยว พัก ที่ “ปูซาน” เมืองริมทะเลสุดชิลของเกาหลีใต้

พูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวสุดชิลของประเทศเกาหลี นาทีนี้ต้องยกให้ “ปูซาน” เลยค่ะ เพราะกำลังได้รับความนิยมจากนักเดินทางทั่วโลกเลย โดยปูซานนั้นเป็นเมืองทางใต้นะคะ เดินทางง่ายกว่าที่คิดเพราะมีไฟลท์บินจากไทยไปลงที่ปูซานให้เลือกหลายสายการบิน หรือถ้าอยากเที่ยวเกาหลีแบบจุใจ จะนั่งเครื่องไปลงที่กรุงโซล ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศเกาหลีใต้ แล้วค่อยนั่งรถไฟความเร็วสูง KTX ไปลงปูซานก็ได้ ใช้เวลาเดินทางจากโซลประมาณ...

Popular Categories

Comments

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่