เขื่อนเชี่ยวหลาน หลังล็อคดาวน์ ทำเอาเราอ้าปากค้างอุทานไม่หยุดเลยว่า เฮ้ย! ประเทศไทยสวยขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย? ..
ถึงปีนี้น้ำในเขื่อนจะลดไปค่อนข้างเยอะ เพราะฝนไม่ยอมมาตามฤดูกาล แต่ธรรมชาติยังไงก็คือธรรมชาติ มีมุมสวยงามด้วยตัวเองอยู่เสมอ ถึงน้ำจะลดจนตอผุดขึ้นมา แต่เราสามารถเปลี่ยนให้เป็นมุมถ่ายรูปสวยๆ ได้ไม่มีปัญหาเลย

ที่นี่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ไฟฟ้ามีให้ใช้แค่ช่วงกลางคืน แต่เรากลับรู้สึกหลับได้แบบเต็มตื่น เพราะช่วงเวลาที่ได้อยู่ในอ้อมกอดของธรรมชาติ ทำให้ลืมความวุ่นวายทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายนอกไปได้มากจริงๆ ตื่นก็ได้ยินเสียงสัตว์ หลับก็ได้ยินเสียงหายใจของตัวเอง มีหนังสือเล่มโปรดสักเล่มให้อ่าน เราว่าเราคงอยู่ที่นี่ได้เป็นเดือนเลย : )
การเดินทางมาเขื่อนเชี่ยวหลาน
จากสนามบินสุราษฎร์ธานีมาท่าเรือเทศบาลเขื่อนเชี่ยวหลานใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่าๆ ค่ะ ส่วนวิธีการเดินทางไปท่าเรือนั้น เราเช่ารถขับจากสนามบินไปเอง แวะนอนแถวเขาสกก่อน 1 คืน เพราะต้องขับมาให้ทันเวลาเรือของรีสอร์ทออก คือ 11.30 น. ถ้ามาไม่ทัน จะต้องเหมาเรือไป 1,700 บาท/เที่ยว เราขับรถมาถึงก็ฝากรถไว้กับทางอุทยานราคา 80 บาท/คืน จากนั้นก็นั่งเรือของรีสอร์ทต่อไปที่พัก ใช้เวลาประมาณ 30-40 นาทีค่ะ


ที่พักเขื่อนเชี่ยวหลาน
ทริปนี้เราพักที่ Panvaree The Greenery Resort คืออยากบอกว่าประทับใจเต็มสิบ ไม่ขอหักเลยสักคะแนน เพราะบรรยากาศดีมาก เหตุผลที่เราเลือกที่นี่ เพราะมีภูเขาหินปูนตั้งตระหง่านอยู่ด้านหลัง เวลามองไปที่รีสอร์ทแล้วรู้สึกเหมือนอยู่เมืองนอกเลย ถ่ายรูปออกมาสวยมากๆ แถมพนักงานยังน่ารักทุกคน เราอยู่ที่นี่ 3 วัน 2 คืน ไม่รู้สึกเบื่อเลยสักวินาที ถ้าเป็นไปได้ก็อยากกลับไปอีกหลายๆ ทีเลยจริงๆ


ห้องพักที่นี่มีสองไทป์ คือ Superior Room กับ Family Room โดยแพ Superior จะมีทั้งหมด 4 ห้อง แบ่งเป็นชั้นล่าง 2 ห้อง และชั้นบน 2 ห้อง โดยจะมีพื้นที่ส่วนกลางคั่นระหว่างห้อง 01 กับ 02 (เราพักห้อง 02) ห้องที่อยู่ชั้นล่างจะมีระเบียงหน้าห้องที่สามารถลงเล่นน้ำได้เลย ส่วนชั้นบนจะเป็นระเบียงสำหรับดูวิว สามารถพักได้ห้องละ 2 คน แต่ละห้องแยกกันชัดเจนนะคะ ของใครของมันเลย เพียงแต่ว่าห้องชั้นบนจะใช้บันไดด้านหลังของห้องชั้นล่าง ฉะนั้นใครที่พักชั้นล่างก็อาจจะได้ยินเสียงคนเดินไปมาบนห้องชั้นบนนิดหน่อย เพราะตัวบ้านเป็นไม้ ไม่ค่อยเก็บเสียงเท่าไร โชคดีวันที่เราพัก ไม่มีใครพักชั้นบน ก็เลยค่อนข้างเงียบสงบค่ะ



ส่วนแพ Family Room จะเป็น 2 ห้องติดกันเลย (ไม่มีพื้นที่ส่วนกลางคั่น) แบ่งเป็น 2 ชั้นเช่นกัน เพียงแต่ว่าชั้นบนของแต่ละห้องจะอยู่ภายในห้องเดียวกันเลย ห้องก็เลยใหญ่กว่า และพักได้ 3-4 คน แต่ถ้าไปกัน 2 คน แล้วจอง Family Room เขาจะปิดชั้นบนไม่ให้ใครเข้าพักค่ะ ไทป์นี้เราว่าเหมาะสำหรับเดอะแก๊งที่มากันหลายๆ คน เพราะราคาจะแพงกว่าห้อง Superior Room อยู่นิดหน่อยค่ะ


ห้องพักทุกห้องมีแอร์นะคะ แต่ไฟฟ้ามีให้ใช้แค่ตอน 5 โมงเย็นถึง 9 โมงเช้า ช่วงกลางวันในห้องจะเปิดได้แค่พัดลมกับปลั๊กสำหรับเสียบชาร์จแบตได้นิดหน่อย แต่อากาศในห้องไม่ร้อนค่ะ สามารถนอนชิลๆ ได้ทั้งวันเลย

ห้องพักทุกห้องมีห้องน้ำในตัว มีน้ำอุ่นให้อาบ (ช่วงกลางคืน) ในห้องจะไม่มีไดร์เป่าผมให้ แต่สามารถไปยืมกับพนักงานที่ล็อบบี้ได้เลยค่ะ


เรามาถึงรีสอร์ทประมาณเที่ยงกว่าๆ ได้ ที่นี่เขาให้เช็คอินเข้าห้องพักได้เลยค่ะ พักผ่อนนิดหน่อยก็ได้เวลาอาหารกลางวัน (มื้อแรก) คืออยากจะบอกว่า อาหารที่นี่อร่อยทุกมื้อแบบไม่ได้อวยเลยค่ะ แถมจัดหนักจัดเต็ม เติมได้ไม่อั้น กับข้าว 4 อย่างทุกมื้อ (มื้อเย็นมีปลาทอดด้วย แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมา เพราะมันมืดอ่า) กินข้าวเสร็จยังเสิร์ฟของหวานต่ออีก (ช่วงเย็นมีผลไม้) เรียกว่าอิ่มหมีพีมันทุกวัน เรื่องอาหารนี่คือยอมเลย อร่อยทุกมื้อจริงๆ


จริงๆ ทริปนี้คือตั้งใจมาพักผ่อนแบบชิลๆ อยากมีอารมณ์แบบนอนหายใจทิ้งไปวันๆ 555 นอกจากอ่านหนังสือสลับนอนกลิ้งไปกลิ้งมาแล้ว ที่รีสอร์ทก็มีพวกเรือคายัคให้พายฟรีค่ะ พอแดดร่มลมตกก็เลยออกมาพายคายัคกัน




ถึงจะมาช่วงหน้าฝน แต่เพราะฝนไม่ยอมมาตามฤดูกาล แดดก็เลยค่อนข้างแรงเชียว ดีที่เราพก Bath&Bloom Lemongrass Mint Body Mist มาด้วย ตัวนี้ช่วยเติมความสดชื่นและลดความแสบร้อนของผิวจากกิจกรรมกลางแจ้งหลังจากตากแดดได้เป็นอย่างดีเลย ช่วงนี้เราติดตัวนี้มาก ด้วยความที่เป็นสเปรย์ ก็เลยหยิบออกมาใช้ง่าย มีกลิ่นหอมตะไคร้และใบมิ้นต์ ฉีดทีนี่สดชื่นลืมเหนื่อยไปเลย ~


อีกตัวของ Bath&Bloom ที่ขาดไม่ได้ก็คือ Fabulous Hand Set ครีมบำรุงมือ ปกติเวลาไปเมืองนอกต้องมีติดตัวไว้ตลอด ช่วงนี้ต้องเที่ยวอยู่แต่ในเมืองไทยก็ติดไปไหนมาไหนด้วยจนชิน ทริปนี้ก็พกมาด้วยหลายกลิ่นเลย หยิบมาทามือหลังอาบน้ำหรือระหว่างวัน ช่วยบำรุงผิวมือให้นุ่มชุ่มชื่น รวมทั้งยังช่วยบำรุงเล็บให้มีสุขภาพแข็งแรงอีกด้วย
สายเที่ยวทั้งหลาย ไปเที่ยวที่ไหน กิจกรรมหนักแค่ไหนก็อย่าลืมดูแลตัวเองกันด้วยน้า ลองเข้าไปส่องผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของ Bath&Bloom กันได้ที่นี่ > Click < หรือสามารถเข้าไปช็อปได้ที่ Bath&Bloom ทุกสาขาตามนี้เลยจ้า > Click <



พายคายัคเสร็จ กลับมาที่ห้อง พักผ่อนกันอีกสักพักก็ถึงเวลาของโปรแกรมทัวร์ของเย็นวันแรกพอดี โดยเวลาประมาณ 5 โมง เขาจะนัดกันพาเรานั่งเรือออกไปดูแลนด์มาร์คของเขื่อนเชี่ยวหลาน ที่มาของฉายา “กุ้ยหลินเมืองไทย” จะเป็นที่ไหนไปไม่ได้ นอกจาก “เขาสามเกลอ” นั่นเองค่ะ

ระหว่างนั่งเรือมาก็คุยกับน้องไกด์และคนขับเรือ ได้ความว่าปีนี้น้ำลดต่ำสุดในรอบยี่สิบกว่าปี (เขื่อนเชี่ยวหลานถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2530 อายุอานามก็ประมาณ 33 ปีได้แล้ว) เราว่ามันค่อนข้างเป็นเรื่องน่าเศร้านะ เพราะเหตุมันเกิดจากฝนฟ้าไม่ยอมตกตามฤดูกาล ซึ่งเป็นสัญญาณของภาวะโลกร้อนแบบชัดเจน ปกติเราชอบดูพี่วรรณสิงห์ (เถื่อน Channel) ตอนดูก็ได้แค่รับรู้ถึงปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับโลกของเรา แต่พอมาเจอ มาเห็นด้วยตาตัวเอง ถึงได้ ‘ตระหนัก’ ว่าเราต้องเริ่มหันมาใส่ใจกับปัญหา Climate Change อย่างจริงจังได้แล้ว ไม่อยากจะคิดเลยว่า ถ้าวันนึงเราไม่มีน้ำให้กินให้ใช้ขึ้นมา ชีวิตจะเป็นยังไง?

ใครอยากรู้ว่าเราจะเริ่มลดโลกร้อนด้วยตัวเองได้ยังไง ลองไปดูวิธีง่ายๆ ที่ตัวเราเองอาจจะทำได้จากช่องเถื่อน Channel ของพี่วรรณสิงห์เลยน้า > Click <
ปล. ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียและรู้จักพี่วรรณสิงห์เป็นการส่วนตัว แต่ในฐานะบล็อคเกอร์คนนึงที่อาจจะเป็นปากเป็นเสียงให้กับโลกใบนี้ได้ เราก็อยากส่วนเล็กๆ ที่ช่วยให้โลกใบนี้กลับมาสวยงามดังเดิม : )

ฤดูฝนที่สุราษฎร์ปีนี้ ถึงจะมีฝนตกบ้างปรอยๆ แต่ตอนเช้าก็มีหมอกลอยปกคลุมบางๆ ทั่วเขื่อนเลยค่ะ ช่วงเช้าของวันที่ 2 เขาจะพาเรานั่งเรือออกไปดูหมอกตอนเช้า ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นโปรแกรมมอร์นิ่งซาฟารี ส่องสัตว์ยามเช้า แต่ที่นี่มีแต่สัตว์หายากทั้งนั้น (เพราะไม่เจอเลยสักตัว 555) จะเห็นก็แค่สัตว์ตัวเล็กๆ เช่น ลิง หมูป่า (แน่นอนว่าถ่ายรูปไม่ทัน แฮร่ ~) ช่วงเช้าจะได้ยินเสียงชะนีร้องแต่เช้าเลย เช้าวันก่อนกลับ น้องไกด์บอกมีเสียงช้างป่าด้วย คือก่อนที่จะสร้างเขื่อน บริเวณนี้เคยเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์มาก ฉะนั้นที่นี่ก็เลยยังคงมีสัตว์ป่าหลากหลายชนิดอาศัยอยู่ตามธรรมชาติค่ะ


จริงๆ ช่วงบ่ายมีโปรแกรมทัวร์ออกไปชมถ้ำปะการังด้วย (รวมอยู่ในค่าแพ็คเกจแล้ว) แต่เราไม่ได้ไปค่ะ บอกน้องไกด์ว่าอยากนอนพักผ่อน อ่านหนังสืออยู่ที่ห้องแบบชิลๆ เพราะอยากมีช่วงเวลาที่ได้อยู่กับตัวเองแบบ 100% อย่างนี้มานานแล้ว เนื่องจากที่นี่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ อินเทอร์เน็ตก็มีให้ใช้ได้แค่ที่ล็อบบี้ ฉะนั้นนี่จึงถือเป็นช่วงเวลาหายากของคนเมืองซึ่งปกติเจอแต่ความวุ่นวายจะได้ด่ำดิ่งสู่โลกแห่งความเงียบสงบ ฟังเสียงธรรมชาติ นอนกลิ้งไปกลิ้งมา ได้ฤกษ์อ่านหนังสือที่คั่นหน้ามานานจนเกือบลืมเนื้อหาภายในเล่มไปแล้วสักที




เผลอแปบเดียว เวลาผ่านไปแล้ว 3 วัน 2 คืน วันกลับเราต้องเช็คเอาท์ออกตั้งแต่ 9 โมงเช้า เพราะเรือจะออกไปส่งที่ท่าเรือเทศบาลเขื่อนเชี่ยวหลานตอน 9.30 น. ถือว่าเป็น 3 วัน 2 คืน ที่ได้ดื่มด่ำกับธรรมชาติแบบเต็มอิ่มมากจริงๆ ใครที่มีอาการเหนื่อยล้าหรือท้อใจจากปัญหาต่างๆ ที่ถาโถมเข้ามา ลองหาเวลาไป Connect กับธรรมชาติดูบ้างนะคะ สัญญาณโทรศัพท์ที่เขื่อนเชี่ยวหลานอาจจะไม่มี แต่สัญญาณจากธรรมชาตินี่รับรองว่าเต็มขีดแบบทะลุลิมิตไปเลยล่ะค่า : )


ค่าใช้จ่ายในทริปนี้
ตั๋วเครื่องบินกรุงเทพฯ – สุราษฎร์ธานี : Thai Smile 2,800 บาท
ค่าแพ็คเกจที่พัก Panvaree The Greenery Resort : 3 วัน 2 คืน 6,090 บาท/คน รวมค่าเรือไป – กลับรีสอร์ท / อาหาร 6 มื้อ (อร่อยทุกมื้อ) / ทัวร์ดูเขาสามเกลอ / ทัวร์เดินป่า ดูถ้ำปะการัง (แต่เราไม่ได้ไป เพราะอยากพักอยู่ที่ห้องชิลๆ) / ทัวร์มอร์นิ่งซาฟารี ดูทะเลหมอกและสัตว์ยามเช้า
ปล. เราเช่ารถขับจากสนามบินสุราษฎร์ไปเอง แต่เช่าหลายวันมาก เพราะจะขับต่อไปเที่ยวสมุยด้วย ถ้าใครไม่สะดวกเช่ารถขับ สามารถติดต่อรถของทางรีสอร์ทให้มารับได้ แต่จะเสียค่าใช้จ่ายอีก 500 บาท/คนจ้า